มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันอันธการ
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
ยามมีกิจ หวังให้เจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังให้เจ้า เฝ้ารักษา
ครั้นเมื่อยาม ล่วงลับ ดับชีวา
หวังให้เจ้า ปิดตา เวลาตาย
เลิกฝันกันซะจะได้พบพระคือความจริง
เลิกหลอกตัวเองจะพบเพลงพระนิพพาน
หลวงปู่โต
เตือนตนตลอดเวลา ไม่ต้องมัวลีลา นั่นคือการบำเพ็ญ ไม่ต้องไปคิดให้วุ่นวายกับโลก
แต่ให้ตรึกตรองในธรรม ชีวิตและเวลาไม่รอใคร จะมัวช้าอยู่ใย เร่งไปนิพพาน
เวลาไม่มี จะทำความดีได้อย่างไร ขอให้เห็น ทำให้เร็ววัน เราจะพบกันในทันที
กรงในกองขันธ์
กรงขังในกองขันธ์ช่างกว้างใหญ่ เหมือนท่องไปไม่สิ้นสุดในเวหา
เดินผิดทิศคิดผิดทางเพิ่มอัตตา กรงขันธายิ่งขยายยิ่งกว้างไกล
อนึ่งเล่าในความจริงใครจะคิด มัวยึดติดทั้งตัวกูของกูเป็นไฉน
ฟังพระเทศน์ความจริงยิ่งห่างไกล จะยืนเดินนั่งนอนไหนก็วังวน
ทั้งโลกนี้และโลกหน้าขันธ์เป็นเหตุ เพราะติดเหตุจึงเกิดผลน่าสับสน
นี่และหนาพระท่านเรียกว่าวังวน ต้องเวียนว่ายวกวนดูวุ่นวาย
มาวันนี้เรากลับมีโอกาส อย่าให้พลาดก่อนเวลานี้จะสาย
วันเวลาในชีวิตไม่มากมาย เวลาตายเวลาเกิดอยู่คู่กัน
เกิดมาพบพระพุทธมีบุญมาก จะได้ขาดสิ้นกิเลสจากกรงขันธ์
พระธรรมสอนเป็นอุบายให้เท่าทัน ทั้งเหตุขันธ์เหตุทุกข์เหตุอะบาย
จงสลัดความคิดจากข้ออ้าง จงองอาจบำเพ็ญเพียรก่อนจะสาย
จงสำริดสำเร็จก่อนจะตาย จิตสุดท้ายคือพ้นกรงขันธมาร
ศรัทธาที่มั่นคง ศรัทธามหาศาลกำลังใจที่มั่นคง
ยึดมั่นและดำรงต่อองค์พระศาสดา
ร้อยแรงรวมเป็นหนึ่งเพื่อมุ่งมั่นในเจตนา
ตอกย้ำพระศาสนาจะสถิตย์ ณ แดนไทย
ขอบารมีองค์พระศรี สถิตย์มั่นในดวงใจ
ปวงข้า ขอรับใช้เบื้องบาทาพระทรงธรรม
จงพ้นพันปัญหา พันมายา ฝ่ายอธรรม
คนทำงานฟ้าฟ้าคัดเลือก
คนทำงานฟ้าฟ้าจัดสรร
คนทำงานฟ้าฟ้าแบ่งปัน
คนทำงานฟ้าได้นั้นต้องคนดี
เรื่องหลากหลายเกิดมีที่ความคิด ใจหงุดหงิดใจฟุ้งซ่านไร้เหตุผล
ความรู้สึกมากมายในตัวตน พาสับสนวกวนในโลกา
เห็นทางตาฟังทางหูรู้ทางจิต กลิ่นนาสิก รสรับได้ ทางชิวหา
ส่วนสัมผัส กระทบได้ ทางกายา เรื่องนานา พาชวนคิด หกทิศทาง
เรื่องทางตา เรื่องทางหู เรื่องทางจิต นอนยังคิดวุ่นวายจนฟ้าสาง
ถึงตอนเช้ายังคิดต่อไม่มีวาง ตกหลุมพรางแห่งความคิดสนิทใจ
พระจอมตรัย ทรงแสดง เรื่องความคิด ถึงชนิดแห่งเวรเป็นไฉน
เหตุแห่งเวรเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป เพราะปล่อยจิตคิดไปไม่มีวาง
ตรงกันข้ามกับหนทางสมณะ คิดแบบพระต้องลดละและสะสาง
ไม่ส่งจิตตามเรื่องราวทั้งหกทาง จิตเป็นกลางกำหนดรู้อยู่ภายใน
กำหนดใจกายวาจาไว้ในจิต เพ่งพินิจอยู่ภายในให้สดใส
ความรู้สึกให้เรารู้อยู่ภายใน ไม่ส่งจิตออกไปไกลจากตัว
ความรู้สึกความรู้ตัวคือสต สัมมาทิฏฐิน้อมใส่ใจไกลทางชั่ว
พาชีวิตไม่วุ่นวายหลงเมามัว มีรู้ตัวคือสติติดตามตน
ความเป็นคนจึงมีค่าหามิได ้ จงเลือกใช้วันเวลาอย่าสับสน
เราได้พบพระพุทธศาสนาไม่อับจน บุญส่งผลถึงท่าน...ขอโมทนา
หลวงปู่พระอุดมญานโมลี (จันทร์ศรี จันททีโป) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
นรกโลกนี้
ยังไม่เผ็ดร้อน
เท่ากับนรกในภพหลัง
สวรรค์ในภพนี้ ไม่สุขสงบร่มเย็น
ไม่อุดมสมบูรณ์ไพบูลย์
เท่ากับสวรรค์ในภพภูมิอื่น
นี่คือความจริง"
คติธรรมพระอุดมญานโมลี
๑. "คนดีพวกน้อย แพ้คนชั่วพวกมาก"
๒."ทำดีไม่ได้ดี เพราะยังทำไม่ถึงดี หรือทำเกินพอดี"
๓."ที่คนทำดีแล้วมักบ่นว่าไม่ได้ดี เพราะดีนั้น มีโทษ"
๔."บุญจะให้คุณ ต่อเมื่อผู้ให้ลืมไปแล้ว"
๕."การพูดมาก แก้ปัญหาใดๆไม่ได้เลย แม้กับปัญหาที่พอจะแก้ไขได้"
๖."พายุร้าย ทำอันตรายได้น้อยกว่าวาจาส่อเสียด ยุแหย่ ใส่ร้าย นินทากัน"
๗."การคุยสนุกหากเกินหนึ่งชั่วโมง คือการทำลายเวลาอันมีค่าของตนเองและผู้อื่น"
๘."อย่าพูดอะไรเพียงเพราะเห็นว่าสนุกปาก เรื่องร้ายสงบได้ เมื่อหยุดพูดถึง
๙." ความรักดูเหมือนหอมหวาน ความชั่วดูเหมือนเผ็ดร้อน ทั้งสองนี้เป็นอารมณ์สุดโต่ง มีอำนาจเหนือเราเมื่อใด จะทำลายเราอย่างเจ็บปวดที่สุด"
ขอพวกเราทั้งหลายจำไว้เถิด
ว่าการเกิดนี้ลำบากยากนักหนา
ครั้นคนเราได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
ก็กลับพากันถึงซึ่งความตาย
( หลวงวิจิตรวาทการ)
ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน
ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอย
( ท่านพุทธทาสภิกขุ)
กายนี้ท่านเปรียบดั่งท่อนไม้
ครั้นดับไปสมมติว่าเป็นผี
เครื่องเปื่อยเน่าสะสมถมปฐพี
เหมือนกันทั้งผู้ดีและเข็ญใจ
( เจ้าพระยาคลัง หน)
อันรูปรสกลิ่นเสียงนั้นเพียงหลอก
ไม่จริงดอกอวิชชาพาให้หลง
อย่าลืมนะร่างกายไม่เที่ยงตรง
ไม่ยืนยงทรงอยู่คู่ฟ้าเอย
( จากหนังสือเก่าโบราณ)
กลางทะเลอวกาศที่เวิ้งว้าง
สรรพสิ่งได้ถูกสร้างแปลงไว้
จากดินน้ำลมและไฟ
ก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่เรื่อยมา
เมื่อถึงคราวแตกดับ
สรรพสิ่งก็หมุนกลับไปหา
ธรรมชาติเดิมแท้นั้นอีกครา
เวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
มีชีวิต อยู่ไป ตามวัยขัย
โดยมิได้ ทำดี เป็นที่อ้าง
ดับตายอย่าง มีดี ไว้ชี้ทาง
ทั้งนี้ต่าง กันมา ฉันฟ้าดิน
ผู้ตายดี มีธรรม เป็นล้ำเลิศ
ดีนำเกิด ที่อุดม สมถวิล
มีชีวิต ชั่วช้า เป็นราคิน
อยู่เหมือนสิ้น ชีวา ไม่ดีเลย
กลอน6 ดี
ดีที่หนึ่งคือดีปฏิบัติ ควรฝึกหัดความเมตตาใฝ่หาศีล
ดีทีสองกตัญญูรู้หากิน รักทรัพย์สินรู้จักใช้ใฝ่คุณธรรม
ดีที่สามรักพ่อแม่อย่าแปรผัน กตัญญูรู้พระคุณการุณล้ำ
ดีที่สีรักครอบครัวไม่มัวกรรม รู้กระทำหากินรักถิ่นตน
ดีที่ห้ารักประเทศขอบเขตขันธ์ อีกราชันย์ศาสนาพาหลุดพ้น
ดีสุดท้ายรักตัวเองอย่าเกรงคน หมั่นฝึกฝนภาวนาธรรมสร้างกรรมดี
|
|
แต่ละดีนี้ฝึกไม่อึกอัก
ดีเพราะรักในคำที่สั่งสอน
ทั้งพ่อแม่ครูบาที่อาทร
ทุกวันนอนยังนึกระลึกคุณ
ทั้งหกดีทำได้ไม่ต้องฝืน
ไม่กล้ำกลืนฝืนใจได้ไออุ่น
มีพระธรรมนำทางช่างการุณ
อันพระคุณรู้ทำจำขึ้นใจ
สุขและทุกข์ มีอยู่ คู่กับโลก
จะย้ายโยก แห่งหน ตำบลไหน
จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ช่างเป็นไร
จะทำใจ ให้เศร้า ไม่เข้าการ
สองมือเกาะ เกี่ยวกุม สุมความรัก
สองมือถัก เรียงร้อย คอยห่วงหา
สองมือโอบ อิงอุ่น ละมุนตา
สองมือมา เกี่ยวก้อย คอยดูกัน
เสียงเพลงหวาน สานฝัน ในวันนี้
ว่าไม่มี วันจาก หากเหมือนฝัน
มาวันนี้ ไกลห่าง ร้างไกลกัน
มือที่เคย ผูกพันธ์ ขอสัญญา
ฝากลมพลิ้วริ้วรอห่อความรัก
ฝากสลักใจห่วงไม่ห่างหาย
ฝากสายฝนพรมพร่างเคียงข้างกาย
ฝากรุ้งพรายรายล้อมกล่อมนิทรา
ฝากตะวันยามเช้าสายและบ่ายค่ำ
ฝากเมฆดำทำใจให้ห่วงหา
ฝากแสงดาวพราวพร่างกลางนภา
ฝากจันทราดูแลแม้เพียงเงา
ฝากสายน้ำไหลรินแม้สิ้นฝัน
ฝากความห่วงใยกันในวันเหงา
ฝากดูแลตัวไปไม่มีนเมา
ฝากท้องฟ้าคอยเร้าเฝ้ามองเธอ
ฝากคิดถึงพี่น้องและผองเพื่อน
ฝากดาวเตือนพารักไปใกล้เสมอ
ฝากคิดถึงห่วงใยไปให้เธอ
ฝากใจเพ้อให้ลมพัดคอยมัดใจ
เวลา
...คนที่ไม่ทำงานใด ๆ และปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ชีวิตจะเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน การปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไปโดยเอาแต่นอน จิตใจจะค่อย ๆ ตกต่ำ สติปัญญาและความสามารถจะถดถอยลงเรื่อย ๆ ผู้ที่ดำรงชีวิตแบบนี้เราเรียกว่า “คนหลับ”...
จุดประทีปแห่งดวงจิต
...หากจิตยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ก็จะสามารถศึกษาสัจธรรมได้อย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้จะได้อ่านหนังสือธรรมะเป็นร้อยเล่มพันเล่มก็จะเหมือน ภาพสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำ เหมือนภาพสะท้อนของดอกไม้ในกระจกเงา ซึ่งมิใช่วัตถุที่เป็นของจริง จะไม่บรรลุผลสำเร็จใด ๆ เลย...
เมตตาและกรุณา
...เมตตาเป็นบ่อเกิดของการช่วยเหลือโลกมนุษย์ แต่หากปราศจากปัญญาก็จะไม่เป็น “ความเมตตาอันยิ่งใหญ่” ผู้มีปัญญาจึงจะเป็นผู้ที่แสดงซึ่งความเมตตาอย่างมุ่งมั่น ทั้งนี้ ตามหลักธรรมที่ว่า “ความเมตตากับปัญญาเป็นของคู่กัน” ...
เปล่งแสงแห่งปัญญาและการหว่านพันธุ์พืชดี
... เราควรหว่านเมล็ดพันธุ์พืชดีในจิตใจของเรา เมล็ดพืชที่ดีงอกขึ้นหนึ่งเมล็ดจะทำให้วัชพืชน้อยลงหนึ่งต้น นาที่ร้างจากการไถหว่าน วัชพืชจะขึ้นมาแทนที่ ดังนั้น การกระทำความดีจะต้องกระทำทุกวันทุกเวลา และทำอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการยกมือหรือการย่างก้าว จิตจะต้องคิดถึงแต่การทำกรรมดีตลอดเวลา...
|
รายการที่ 1 - 100 จาก 519 รายการ |
หน้า 1 จาก 6 หน้า |
|