สัมภเวสี คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะ (อริยบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์) ในทุกภพภูมิ ซึ่งเป็นผู้ที่ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก สรุปง่ายๆ คือ ทุกชีวิตที่ยังต้องเกิดอีกนั่นเองครับ แต่คนไทยมักใช้ในความหมายว่าเป็นพวกเปรตซะมากกว่า
โอปปาติกะ คือ ผู้ที่ผุดเกิด คือเกิดแล้วโตทันที ไม่ต้องเป็นไข่ หรือเป็นตัวอ่อนก่อน ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ให้กำเนิด (เพียงแต่มีตัณหาในภพ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น) เมื่อเกิดก็ปรากฏเป็นร่างกายขึ้นมาเลย เมื่อตายก็ไม่มีซากเหลืออยู่ เช่น สัตว์นรก เปรตบางจำพวก อสุรกายบางจำพวก เทวดาบางจำพวกโดยเฉพาะเทวดาชั้นสูงๆ ทั้งหลาย รูปภูมิ อรูปภูมิ แต่คนไทยมักใช้เรียกพวกที่เป็นกายทิพย์ทั้งหมด ทั้งที่กายทิพย์บางพวกมีกำเนิดชนิดอื่น เช่น อัณฑชะ ชลาพุชะ เป็นต้น
(พวกกายทิพย์ในทุกกำเนิดมีชื่อเรียกรวมๆ ว่าอทิสสมานกาย คือเป็นกายละเอียด คนทั่วไปมองไม่เห็น)
กำเนิดมี 4 ชนิด คือ
- อัณฑชะ เกิดในไข่ก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก ไก่
- ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ แมว สุนัข
- สังเสทชะ เกิดในยางเหนียว ตรงนี้มักยกตัวอย่างกันว่าเป็นพวกหนอนที่เกิดในที่ชื้นแฉะ ที่สกปรก (ซึ่งที่จริงเกิดจากไข่) แต่ผมยังไม่ปักใจในส่วนนี้เพราะยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่คนเรายังไม่รู้จัก โดยเฉพาะในภพภูมิอื่น ซึ่งอาจเกิดจากยางเหนียวโดยตรงเลยก็ได้
- โอปปาติกะ ผุดเกิด คือเกิดแล้วโตทันที
- สัมภเวสี อยู่ในแทบทุกภูมิ ที่อาจจะยกเว้นก็คือ อกนิฏฐาภูมิ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของสุทธาวาสภูมิ 5 (สุทธาวาส เป็นภูมิที่อนาคามีบุคคลไปเกิด) ซึ่งผู้ที่เกิดในอกนิฏฐาภูมิแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น ดังนั้น ผู้ที่เกิดในภูมินี้ทุกคนจึงมีชีวิตเป็นชาติสุดท้าย
ผู้ที่เกิดในภูมินี้แล้วแต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ คือยังเป็นอนาคามีบุคคลอยู่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้แน่ๆ นั้น ผมไม่ทราบว่าจะเรียกว่าเป็นสัมภเวสีด้วยหรือไม่
ผู้ที่เกิดในสุทธาวาสภูมิที่ 1 - 4 นั้น อาจจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่บรรลุก็จะไม่เกิดซ้ำภูมิเดิม และไม่เกิดในภูมิที่ต่ำลงไป แต่จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงอกนิฏฐาภูมิ ดังนั้น อนาคามีบุคคลจึงเกิดอีกไม่เกิน 5 ชาติ เท่ากับจำนวนของชั้นสุทธาวาส (ดูรายละเอียดในเรื่องภพภูมิในพระพุทธศาสนา ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ)
โอปปาติกะ มีกระจายอยู่หลายภูมิ เช่น นรก เปรตบางพวก อสุรกายบางพวก เดรัจฉานที่เป็นกายทิพย์บางพวก ว่ากันว่ามนุษย์ยุคต้นๆ ก็เป็นโอปปาติกะ เทวดาชั้นต่ำบางจำพวก เทวดาชั้นสูงทั้งหมด รูปภูมิ อรูปภูมิ
โอปปาติกะ (อ่านว่า โอปะปาติกะ) แปลว่า ผู้เกิดผุดขึ้น คือผุดขึ้นเป็นตัวเป็นตนและโตเต็มที่ในทันที
โอปปาติกะ เป็นโยนิคือกำเนิดหรือวิธีเกิดของสัตว์โลกอย่างหนึ่งใน ๔ อย่าง เรียกว่าโอปปาติกกำเนิด
โอปปาติกะ เป็นการเกิดที่ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยแต่อดีตกรรมอย่างเดียว เกิดแล้วก็สมบูรณ์เต็มตัว ไม่เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เวลาตายก็หายวับไปไม่มีซากร่างเหลือไว้เหมือนคนหรือสัตว์
โอปปาติกะ ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
ภพสัมภเวสี
หลวงปู่คำคะนิงชมภพสัมภเวสี
ออกจากชุมทางไปสวรรค์แล้วก็มาถึงทางสามแพร่งอันอ้างว้างเยือกเย็น เป็นดินแดนอันแห้งแล้งชวนให้หดหู่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้คนทั้งหญิงและชายมากฝ่ายทุกเพศทุกวัย นั่งบ้างยืนบ้าง ที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินก็มีมาก ทุกคนต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ พร่ำพิไรรำพันต่าง ๆ นานา ดังระงมไปหมด มิทราบว่าพวกเขามีความทุกข์โศกอันใด
จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า คนเหล่านี้ล้วนตายโหงมาทั้งนั้น เป็นพวกวิญญาณที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุขัย เพราะถูกบาปกรรมหนักตามตัดรอนชีวิต เมื่อตายโหงแล้วก็ไปยังศาลาพันห้อง แต่พญายมบาลไม่อาจตัดสินได้ เพราะพวกนี้ตายก่อนกำหนด จึงขับได้ไล่ส่งให้มาอยู่ตรงชุมทางสามแพร่งนี้ เพื่อให้เที่ยวเร่ร่อนไปในโลกมนุษย์ก่อน รอเวลาจะถูกตัดสินให้ไปผุดเกิด
พวกผีตายโหงหรือวิญญาณตายโหงนี้ เรียกว่าพวก “สัมภเวสี” คือผู้แสวงหาที่เกิด แต่ยังหาที่เกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับการพิพากษาตัดสิน
ดังนั้นก็เที่ยวตระเวนเรื่อยไป เที่ยวหลอกหลอนมนุษย์บ้าง เพื่อแสดงตนขอส่วนบุญ ที่เที่ยวหลอกหลอนด้วยความอาฆาตพยาบาทบ้างก็มีเยอะ แล้วแต่นิสัยดั้งเดิมว่าเป็นพาลมากน้อยเพียงใด
เมื่อเที่ยวชมแดนศาลาพันห้องหรือยมโลกพอสมควรแล้ว จ่ายมพบาลก็เตือนให้หลวงปู่คำคะนิงรีบกลับคืนสู่ร่างในโลกมนุษย์เสียเถิด เพราะแดนนรกหมกไหม้นั้น ยังมีอีกมากมายเที่ยวไม่จบสิ้นง่าย ๆ หรอก
พอตั้งใจว่าจะกลับก็กลับมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเร็ว เมื่อมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ก็เห็นร่างของตัวเองงองุ้มหมอบฟุบอยู่กับอาสนะ ลักษณะของคนที่หมดสิ้นลมหายใจ จึงหยุดพิจารณาตู
เห็นร่างของตัวเองใสคล้ายแก้วโปร่งแสง แต่ชราภาพหนังเหี่ยวย่น มองเห็นตับไตไส้พุงหมดเห็นเส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย เห็นเลือดแดงฉานเอิบอาบอยู่ทุกส่วน
เมื่อพิจารณาดูสังขารร่างกายของตนเองแล้ว ก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยง แถมยังมีกลิ่นเหม็นโดยมาจากร่างนั้นด้วย ก็ยิ่งสะอิดสะเอียน มันเหม็นเหมือนหมาเน่า
คิดว่า โอ้หนอ...ร่างของคนเรานี้มันเป็นโพรง ที่ขังอวัยวะของเหม็นเน่าสกปรกไว้แท้ ๆ คนเรายังมาหลงรักหลงกอดร่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ได้
ยิ่งร่างตัวเองก็ยิ่งรักยิ่งหลงเฝ้าตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวย ๆ งาม ๆ ไม่อยากให้มันแก่เฒ่าง่าย ๆ
นี่เป็นความหลงผิดแท้ ๆ หลงผิดคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเราและของเขา ความจริงร่างกายเปรียบเหมือนที่อยู่อาศัยหรือพาหนะชั่วคราวที่จิตวิญญาณอาศัยเท่านั้น
เราที่แท้จริงก็คือจิตวิญญาณที่ยังหลงยึดอยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ ร่างความเป็นมนุษย์นี้สกปรก สู้ร่างที่เป็นกายทิพย์ไม่ได้
เพราะกายทิพย์ที่จิตวิญญาณอาศัยไปเที่ยวชมแดนยมโลกนี้เป็นกายทิพย์ที่โปร่งใส มีรัศมีเรืองรองดุจประกายดาว คิดจะไปไหนมาไหนก็ไปได้รวดเร็วดังใจนึก อยากรู้อยากเห็นอะไรก็สามารถรู้ได้รวดเร็วไม่ติดขัด
เมื่อพิจารณาดูซากร่างความเป็นมนุษย์ของตนแล้ว. ทำให้ไม่อยากกลับเข้าสู่ร่างเดิมที่นอนฟุบอยู่ เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่าน่ารังเกียจขยะแขยงเหลือทน แต่แล้วก็มาคิดได้ว่า เรายังสร้างสมบุญบารมีในโลกยังไม่เพียงพอ จะทิ้งร่างมนุษย์ไปยังไม่ได้ แม้แต่พญายมบาลยังไล่ให้เรากลับมาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมเลย
ฉะนั้นถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราคร่ำคร่า มีกลิ่นเหม็นเน่าสกปรกโสโครกก็ตามเถอะ เราจำเป็นต้องฝืนใจกลับเข้าสิงสู่อยู่ในร่างนี้อีกต่อไป เพื่อประพฤติพรตพรหมจรรย์ ปฏิบัติธรรมสร้างสมความดีสืบต่อไป
เพียงนึกเท่านี้ก็รู้สึกวูบหวิวไปชั่วขณะจิต คล้ายจะหมดสติไปชั่ววูบ มารู้สึกตัวในชั่วขณะจิตต่อมาก็พบว่า จิตได้เข้าสิงร่างเดิมแล้วและเคลื่อนไหวได้
เมื่อตายแล้วฟื้น ญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันใหญ่ หลั่งไหลมาฟังเทศน์ฟังธรรม หลวงปู่คำคะนิงก็เล่าให้ฟังว่า มรณภาพแล้วไปไหนบ้าง
ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า บาปบุญมีจริง
เวลามีชีวิตอยู่ นรก สวรรค์อยู่ในอกในใจ แต่เวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณก็พาไปพบสวรรค์จริง ๆ นรกจริง ๆ อีกภพภูมิต่างหาก ตายไปแล้วยังจดจำตัวเองได้หมดทุกอย่าง
ฉะนั้นขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายอย่าได้ประมาทอย่าได้ประพฤติชั่วผิดศีลธรรมเลย เพราะถ้าประพฤติผิดศีลธรรม ทำแต่กรรมชั่วแล้ว จะไปถูกลงโทษในแดนนรกจริง ๆ เพราะหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว
ขอให้ทุกคนเร่งรีบทำความดี ประพฤติอยู่ในศีล กินในธรรมเร็ว ๆ เข้าจะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อเราตายไปแล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะความตายอาจจู่โจมมากะทันหันเมื่อไรก็ได้
ขณะมีชีวิตอยู่จงรีบเร่งให้ทาน ปฏิบัติในศีล และเจริญภาวนาเสียเดี่ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้ทำเพราะเกิดตายกะทันหันเสียก่อน
โยนิ แปลว่ากำเนิด หมายถึงที่เกิด ที่ให้กำเนิดสัตว์
โยนิ มี ๔ ประเภท คือ
- ชลาพุชะ ประเภทเกิดในครรภ์ ได้แก่สัตว์ที่เกิดอยู่ในครรภ์ก่อนแล้วคลอดออกมาเป็นตัว เช่นมนุษย์ สัตว์บางประเภท เป็นต้นว่า โค กระบือ ม้า เสือ ปลาวาฬ ปลาโลมา
- อัณฑชะ ประเภทเกิดในไข่ ได้แก่สัตว์ดิรัจฉานบางประเภทที่เกิดในฟองไข่ก่อนแล้วฟักออกมาเป็นตัว เช่น ไก่ เป็ด นก มด เต่า กบ เป็นต้น
- สังเสทชะ ประเภทเกิดในเถ้าไคล ได้แก่สัตว์ที่เกิดในของสกปรกโสมม เช่น หนอน ยุง แมลงบางชนิด
- โอปปาติกะ ประเภทผุดขึ้น ได้แก่พวกที่เกิดเป็นตัวตนเลย คือ เทวดา สัตว์นรก
การติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วจะมีอยู่ 3 วิธีคือ การเล่นผีถ้วยแก้ว การเข้าทรงและการติดต่อทางสมาธิ ผีถ้วยแก้วคือการที่โอปปาติกะมาเพ่งเราโดยใช้เราเป็นสื่อ มันก็จะมีพลังออกมาจากมืออาจารย์พรจะใช้คนเล่น 4-5 คน ผีถ้วยแก้วนี่เมื่อก่อนก็เดินกันเป็นปีๆ อาจารย์พรพิสูจน์การเล่นผีถ้วยแก้วโดยเรียกคนที่ตายไปแล้วมา “ตอนทดลองที่วัดมหาธาตุมีคนถูกผีหลอกบ่อยที่สุด (หมายถึง ผีหลอกลวง) พอถามว่า”ใคร “ถ้วยก็จะลากไปแล้วสะกดชื่อ”โต1(หมายถึง สมเด็จโต วัดระฆังฯ)แต่พอคุณศรีเพ็ญเข้าไปถ้วยหยุดเดิน “ไม่รู้ว่าใครมาอ้างว่าเป็นโต 1 “(หัวเราะ)
การพิสูจน์วิญญาณโดยการเล่นผีถ้วยแก้วนี้อาจารย์พรได้เขียนลงในหนังสือแว่วเสียงสวรรค์เล่ม 4 ว่า...
“เรื่องผีถ้วยแก้วที่เป็นจริงมีอยู่ แต่การที่จะเล่นเรื่องนี้ถ้าหากไม่มีการทดสอบกันอย่างดี แล้วก็อาจจะถูกหลอกได้ง่ายที่สุดและการทดสอบที่ว่านี้คือต้องมีใครคนใดคน หนึ่งที่มีความสามารถเข้าสมาธิไปดูได้ เมื่อมองเห็นว่ามีวิญญาณหรือโอปปาติกะที่เชิญมาอยู่ในที่นั้นจึงจะเชื่อถือ ได้
ในการพิสูจน์โอปปาติกะในผีถ้วยแก้วนั้นสมัย อาจารย์พรยังอยู่ไปทำการพิสูจน์กันถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยคุณศรีเพ็ญเล่าให้ฟังว่า
“ตอนนั้นอาจารย์พรได้ไปพิสูจน์ผีถ้วย แก้วที่วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา เขาลือกันว่าแม่ชีที่นั่นเล่นผีถ้วยแก้วโดยสมเด็จพระนเรศวรฯมาเข้า ใครๆ มาเข้า เราก็ไปดูว่าเขาทำยังไง สมัยนู้นที่ไปดูคนยังไปไม่มากยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ เห็นเขาวิ่งจู๊ด ก็เห็นของจริงโดยเข้าสมาธิดูว่า ใครเป็นคนมาเพ่งให้ถ้วยวิ่ง ก็เห็นส่วนมากเป็นพวกทหารโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นกษัตริย์ก็มีหลายองค์สับเปลี่ยนกันมาเพ่ง”
สำหรับการพิสูจน์วิญญาณโดย การเข้าทรง คุณศรีเพ็ญอธิบายว่า
“การเข้าทรงคือการสะกิดจิต โอปปาติกะจะไม่ได้มาสิงสู่หรือเข้ามาอยู่ในตัวเรา ถ้าท่านจะเข้าทรงท่านก็ใช้กระแสจิตเพียงเราแล้วให้เราทำตามเหมือนอย่างกับคน สะกิดจิตกัน พอหมาดความรู้สึกก็จะต้องทำตามทุกอย่างที่สั่งซึ่งในภาวะนั้นจะไม่รู้สึกตัว การฝึกการเข้าทรงอาจารย์พรก็จะให้มากันหลายๆ คน ประมาณเกือบ 10 คนให้นั่งสมาธิแล้วเชิญโอปปาติกะหลายๆ รูปให้ท่านมาเพ่งแต่ละคนแล้วดูซิว่าแต่ละคนจะออกอาหารมาอย่างไร โดยคุณศรีเพ็ญจะคอยดู (จากสมาธิ) ว่าเป็นองค์นั้นองค์นี้มาเพ่งจริงมั้ย นั่นเป็นเหตุการณ์สมัยก่อน สมัยบุกเบิก สมัยนี้ไม่มีแล้วไม่ใช่ทำกันง่ายๆ นะ คนที่ทำเรื่องนี้ต้องมีความรู้ ไม่งั้นจะพากันเข้ารกเข้าพงไป และการเข้าทรงนี่ก็ทำได้ไม่ทุกคน ที่ทำได้อาจเป็นพื้นเดิมในอดีตชาติทีแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน การเข้าทรงจะหาที่จริงใน 1 พันจะมีจริงๆ ชัก 1 เดียวเท่านั้นและอันตรายของการเข้าทรงนี่ก็ถ้าสมมติว่าคนที่มาสะกดจิตเรา เป็นพวกเจ้ากรรมนายเวรหรือพวกที่คิดไม่ดีกับเรา เขาก็อาจจะสะกดให้เราทำอะไรที่เขาต้องการได้”
ปกติเวลาคุณศรีเพ็ญนั่งสมาธิก็มักจะมี โอปปาติกะมาเข้าอยู่เป็นประจำ ขณะที่เข้าคุณศรีเพ็ญจะไม่รู้สึกตัวเลย โอปาปาติกะหรือเทพชั้นสูงที่มาเข้ามี อาทิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านมหาตมคานธี สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า ฯลฯ บางท่านอาจดูว่าเหลือเชื่ออย่างท่านมหาตมะคานธี ท่านอยู่อินเดียวท่านจะมาถึงนี่ได้อย่างไร แล้วมีการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้อย่างไรว่าผู้ที่มาเข้าทรงคุณศรีเพ็ญนั้น เป็นโอปปาติกะที่เอ่ยนามมาจริงๆ ในเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่คนที่ได้สัมผัสโดยตรงก็คงจะปักใจเชื่อได้ยาก แต่เหตุการณ์ขณะที่โอปปาติกะแต่ละท่านแต่ละองค์ได้มาเข้าคุณศรีเพ็ญในตอน นั้นได้มีผู้ทรงภูมิรู้และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิสูจน์ ร่วมกันซักถามโอปปาติกะเหล่านั้นจนทั่วถ้วนกระบวนความจนแจ้งชัดในใจว่านี่ คือ “ของจริง”เพราะหากเป็นโอปปาติกะที่มา “แอบอ้าง”ก็จะไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้น บางคำถามเชื่อว่าคนในยุคนั้นไม่มีทางรู้คำตอบเพราะเกิดไม่ทันยุคของ โอปปาติกะตนนั้น โอปปาติกะบางท่าน อาทิ สมเด็จโตฯ ท่านยังได้เทศนาในเรื่องราวของชีวิตหลังความตายและชีวิตของโอปปาติกะอีกมาก มายหลายเรื่องให้ฟังด้วย ทำให้แน่ชัดว่านรก สวรรค์นั้นมีจริงๆ
การเป็น “สื่อ” ในการเข้าทรงนั้นหมายถึง สภาพจิตใจของผู้ที่เป็นสื่อนั้นสามารถรับกระแสจิตของพวกโอปปาติกะได้ง่าย และก็มีคำถามตามมาว่าแล้วทำไมคนส่วนใหญ่เป็น “สื่อ” ไม่ได้ คนที่เป็น “สื่อ”ได้เขามีคุณสมบัติที่พิเศษอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้มีคำตอบอยู่ในงานเขียน” แว่วเสียงสวรรค์ เล่ม 4 ของ อาจารย์พรว่าความเป็น “สื่อ”เกิดขึ้นได้เพราะเหตุดังต่อไปนี้
1.บุคคลผู้นั้นเคยมีสมาธิดีมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อน เพราะฉะนั้นจิตใจของเขาจึงมีความไวที่จะรับกระแสจิตจากผู้อื่นได้ง่าย
2. บางคนแม้จะมีพื้นสมาธิมาดีอยู่ในฐานะที่อาจจะรับกระแสจิตของพวกโอปปาติกะได้ ง่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะติดต่อได้ทุกคน เพราะกระแสจิตของคนเรามีคลื่นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าหากคนไหนเคยมีความสัมพันธ์กับวิญญาณนั้นๆ ในชาติก่อนก็จะสามารถรับกระแสของคนนั้นได้ง่าย หรือถ้าจิตอยู่ในภูมิเดียวกันหรือระดับเดียวกันก็สามารถรับได้ง่ายเช่นกัน
การ ทดลองค้นคว้าในเรื่องวิญญาณหลายๆ วิธีของอาจารย์พรท่านทำเพื่อต้องการให้คนทั้งหลายยอมรับความจริงที่ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วก็ยังมีชีวิตและชีวิตของโอปปาติกะทั้งหลายนั้น หากได้ศึกษาจากหลักวิชาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ประกอบกับได้เห็นข้อเท็จ จริงแล้วจะเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ตัวเราเป็นผลที่เกิดมาจากวิญญาณเราและจากวิบากของกรรมต่างๆ ที่เราได้สะสมเอาไว้จริง
ฉบับหน้าจะเล่าถึงการติดต่อวิญญาณของคุณศรีเพ็ญโดยวิธีเข้าสมาธิไปติดต่อ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านได้ในฉบับต่อไป