|
เวียนว่ายตายเกิด และ กฏแห่งกรรมมีจริง - 105 วิวาห์ ทารุณ
|
|
|
วิวาห์ทารุณลัวะวิถี
…ธนจรรย์ สุระมณี
การแต่งงานที่ยุ่งยากสิ้นเปลืองและใช้เวลานานที่สุดในบรรดาชนเผ่าที่มีในประเทศไทยนี้เห็นจะไม่มีเผ่าใดเกินชาวลัวะ กว่าจะแต่งงานเสร็จและอยู่กินกันได้ ทำเอาระโหยโรยแรงไปตามๆ กันทั้งสองฝ่ายและแทบสิ้นเนื้อประดาตัวเอาเลยทีเดียว เพราะต้องลงทุนและทนทุกข์ทรมานในการประกอบพิธีกรรมเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ มันเป็นจารีตนิยมของเขาโดยแท้
ประเพณีของชาวลัวะนั้น การที่หนุ่มสาวจะเลือกคู่ครอง ไม่มีการกีดกันหรือคลุมถุงชนแบบไทยบางกลุ่ม ชาวลัวะถือว่าเรื่องของความรักเป็นเรื่องของจิตใจ ทุกคนมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะเลือกคู่รักคู่ครองได้ตามใจชอบ แต่ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา ใครจะฝ่าฝืนหรือแหกคอกไม่ได้ ในสังคมของชาวลัวะ แม้จะมีเสรีภาพในการเลือกคู่ แต่เขาจะไม่เปิดโอกาสให้ถึงขั้น “ฟรีเซ็ก” อย่างในสังคมของพวกม้ง หรือมี “ลานสาวกอด” มั่วโลกีย์อย่างชาวอีก้อเด็ดขาด หนุ่มสาวชาวลัวะจะคบเพื่อนต่างเพศฉันชู้สาว หรือจะแต่งงานก็ต่อเมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้ว การชิงสุกก่อนห่ามหรือการล่วงเกินกันแม้เพียงจับมือถือแขน ก็ถือว่าเป็นการผิดประเพณี ผิดผีอย่างรุนแรง และจะต้องถูกปรับไหมอย่างหนัก (เมื่อ 20 ปีคืนหลัง ปัจจุบันการผิดประเพณีมีมากขึ้นเหมือนสังคมเมือง)
ในการเที่ยวสาว ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายไปหาหญิงสาวที่บ้าน ส่วนมากจะเป็นหญิงสาวต่างหมู่บ้าน ฝ่ายหญิงสาวก็เช่นกัน ก็มักจะแต่งงานกับชายหนุ่มต่างหมู่บ้าน เพราะแต่ละหมู่บ้านส่วนมากจะเกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น จะแต่งงานกันย่อมไม่ได้ เพราะผิดประเพณีนั่นเอง ชายหนุ่มจะไปหาหญิงที่บ้านในเวลาค่ำคืนค่อนข้างดึก ประมาณว่าพ่อแม่ของหญิงสาวนอนหลับแล้ว จึงจะขึ้นไปคุยกับสาวบนบ้านได้ ส่วนมากจะใกล้เที่ยงคืนหรือเลยเที่ยงคืน เพราะชาวลัวะนั้นนอนดึก แม้จะต้องทำงานในไร่นามาหนักตลอดทั้งวันก็ตาม
หากชายหนุ่มประสงค์จะคุยกับหญิงสาวคนใด ก็จะร้องเพลงรักเบาๆ เป็นภาษาลัวะหรือไม่ก็ใช้ไม้แหย่หรือสอดมือขึ้นไปตามช่องกระดานหรือฝาบ้าน ตรงที่นอนหญิงสาว พร้อมกับทำเสียงพอให้หญิงสาวได้ยินและจำเสียงได้ หากหล่อนพึงใจและชอบพอเป็นทุนอยู่แล้ว ก็จะออกมานั่งคุยด้วย แต่ถ้าไม่รักไม่ชอบจะออกมาคุยด้วยพอไม่ให้เสียน้ำใจ โดยจะขอให้พ่อหรือแม่ออกมานั่งคุยเป็นเพื่อนด้วย หนุ่มใดพบรูปการณ์แบบนี้เข้า ก็ให้เตรียมตัวสวัสดีความเศร้าได้เลย ตื้อไปก็ไร้ผล
การพูดจาภาษารักกันนั้น หนุ่มสาวชาว
ลัวะจะนั่งห่างๆ กันบนชานบ้าน ที่ค่อนข้างกว้าง คุยกันเพียงเบาๆ เหมือนสายลมกระซิบแมกไม้ ท่ามกลางความมืดไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆ เลยนอกจากแสงจันทร์บนท้องฟ้า และแสงไฟวูบวาบเป็นครั้งคราวจากปลายกล้องยาสูบที่ทั้งสองจุดสูบ คุยกันไปกระซิบกระซาบกันไป สลับกับการสูบกล้องแก้ง่วง จนไก่ขันกระชั้นถี่จวนสว่าง สมควรกล่าวคำอำลาคนรัก จะได้มีเวลาเตรียมตัวออกไปไร่นาก่อนฟ้าสาง หนุ่มสาวชาวลัวะเป็นนักขาย “ขนมจีบ” ชั้นยอดทีเดียว
เมื่อคบและดูใจกันมานานเป็นเดือนเป็นปี หรือบางคนก็หลายปีกว่าจะสะสมทุนทรัพย์ไว้พอที่จะแต่งงานได้ จนแน่ใจในความรักและคนรักแล้ว พอฤดูกาลแต่งงานมาถึง คือภายหลังการเก็บเกี่ยวและขนข้าวขึ้นยุ้งแล้วซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม–เมษายน และต้องเป็นเดือนข้างขึ้นด้วย ที่ชาวลัวะเรียกกันกว่า “เดือนออก” ชายหนุ่มจะนัดสาวคู่รักของตน ให้ทราบวันเวลาที่จะพาหนี เข้าทำนองที่ว่า “รักกันหนาต้องพากันหนี” นั่นเอง แต่เป็นการพาหนีหรือลักพาพอเป็นพิธีตามประเพณีเท่านั้น หาได้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น
การลักพาสาวหนีนั้น ต้องทำในเวลาค่ำคืนเมื่อพ่อแม่หญิงสาวนอนหลับหมดแล้ว จะให้พ่อแม่หญิงสาวรู้เห็นไม่ได้เด็ดขาด แม้จะได้แนะหญิงสาวไว้ก่อนแล้วก็ตาม ถ้าหากพ่อแม่ของหญิงสาวเห็น เขาถือว่าเป็นการสบประมาทอย่างร้ายแรง แทนที่ชายหนุ่มจะได้หญิงสาวหนีไปครองรัก กลับจะได้ความซวยไป เพราะถูกปรับไหมอย่างหนัก และหากจะลักพาสาวหนีตอนหัวค่ำก็ย่อมได้ โดยนัดแนะให้เพื่อนบ้านของตน เอาข้าวปลาอาหารและเหล้าไปเลี้ยงดูมอมเมาพ่อแม่หญิงสาวให้เมาจนไม่ได้สติก่อน แล้วค่อยพาลูกสาวหนี ชาวลัวะถือกันว่า การลักพาสาวหนีถ้าจะให้ถูกฤกษ์งามยามดี ต้องกระทำในยามค่ำคืนของวันอาทิตย์ จึงจะเป็นมงคลต่อการครองชีวิตภายหน้า เมื่อพาสาวหนีไปแล้ว จะนำไปไหนหรือจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจหาได้ไม่จะต้องนำหญิงสาวไปซ่อนไว้ที่บ้านญาติของตน แห่งเดียวเท่านั้น
พอตอนสายของวันถัดมา (วันจันทร์) หรืออาจจะเป็นตอนบ่ายก็ได้ ฝ่ายชายพร้อมด้วยพ่อแม่และญาติมิตร ต้องจัดหาหมูขนาด 3 กำ ไปฆ่าทำอาหารเลี้ยงพ่อแม่ญาติมิตรของฝ่ายหญิงสาวถึงที่บ้าน พร้อมกับนำสินสอดเงินหมั้น (ไม่นิยมทอง) ที่จะมอบให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงติดตัวไปด้วย สินสอดนั้นประกอบด้วยเงินกลีบม้าหรือเงินเจียงชนิดคู่ (ลัวะเรียกเงินหีหมา) 4 อัน เงินเจียงคี่ 3 อัน เงินกลม (เงินแท่ง) ใหญ่ 6 อัน เงินกลมเล็ก 5 อัน เงินแถบอีก 13 เหรียญ เงินเหล่านี้เป็นเงินแท่งแร่เงินแท้และเป็นของเก่า แต่ละอันมีน้ำหนักหลายบาท นอกจากเงินแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเหล้าป่าอีก 2 ขวด การให้สินสอดนั้น ลัวะเรียกว่า “ตกฮีต” ซึ่งแปลว่า “การตกแต่งปฏิบัติให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี” นั่นเอง
ตกกลางคืน ชายหนุ่มจะทำพิธีรดน้ำดำหัวพ่อแม่ของหญิงสาว เพื่อเป็นการขอขมาที่ได้ล่วงเกินลักพาลูกสาวไป หลังรดน้ำดำหัวชายหนุ่มและเพื่อนบ้านที่ไปด้วย จะเอาหัวหมูทำอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่และญาติมิตรของหญิงสาวอีกครั้ง และในวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มจะต้องจัดอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่และญาติหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะลากลับ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกเดินทางกลับ ชายหนุ่มต้องตระเวนทำความรู้จักคุ้นเคยกับญาติพี่น้องฝ่ายหญิงสาวให้ครบทุกครอบครัวก่อน
พอเข้าวันที่ 3 ตั้งแต่ลักพาสาวหนีไปซ่อนไว้ ชายหนุ่มจะต้องกะเกณฑ์มิตรสหายให้มาช่วยสร้างห้องหอรอรักไว้ให้พร้อม ด้วยการสร้างเสริมดัดแปลงห้องหับภายในบ้านหลังเก่าของตนเองให้เป็นสัดส่วนต่างหาก ในงานนี้ญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงสาวจะมาเป็นสักขีพยาน เพื่อให้แน่แก่ใจว่า ฝ่ายชายได้ตระเตรียมเพื่อที่จะทำการวิวาห์จริง มิใช่หลอกลวงกัน
ในวันสร้างห้องหอรอรัก ฝ่ายชายต้องฆ่าควายขนาดใหญ่อีก 1 ตัว เพื่อเอาเนื้อมาทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาช่วยสร้างห้องหอ และสำหรับไว้ทำอาหารเลี้ยงใหญ่ในวันต่อไป ซึ่งจะเป็นวันสำคัญที่สุดคือวันเข้าพิธีวิวาห์ การเลี้ยงในวันสร้างเรือนหอนี้เลี้ยงกันพอเป็นพิธีเท่านั้น สำหรับญาติพี่น้องฝ่ายเจ้าสาวที่มาเป็นสักขีพยานสร้างเรือนหอนั้น ทางฝ่ายเจ้าบ่าวจะไม่ทำอาหารเลี้ยงดู แต่จะห่อข้าวและมอบเนื้อหมูให้กลับไปทำอาหารที่บ้าน
ในวันที่ 4 ตั้งแต่ลักพาสาวไปซ่อนไว้ ซึ่งตรงกับวันพุธ (ชาวลัวะเชื่อว่าวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ เป็นวันดีวันมงคล) วันนี้ถือว่าเป็นวันสำคัญเพราะเป็นวันแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมตั้งแต่เช้าตรู่เพราะจะมีพิธีกินเลี้ยงผูกแขนมัดมือเรียกขวัญที่บ้านเจ้าบ่าว จะมีเพื่อนบ้านทั้งใกล้และไกลมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ฉะนั้นในวันนี้จะต้องเตรียมข้าวปลาอาหารไว้ให้พร้อม จะขาดตกบกพร่องไม่ได้เป็นอันขาด ต้องหาหมู หาไก่ มาฆ่าเตรียมไว้ให้มากๆ นอกจากเนื้อควายแล้ว ถ้ายากจนไม่มีเงินจะซื้อหามาได้พอ ก็ให้หยิบยืมเขามาก่อนค่อยหาใช้ภายหลังเมื่อเสร็จพิธีแต่งงานแล้ว แม้ว่าจะต้องหาเงินส่งหนี้ไปอีกหลายปีก็ต้องยอม ก็คงเหมือนๆ กับชาวเมืองในความเป็น “คนหน้าใหญ่ใจป้ำ” แม้จะช้ำใจในภายหลัง
ประมาณแปดโมงเช้า ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย จะพากันไปรับตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาจากบ้านที่ซ่อนไว้ นำมาเข้าพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องแต่งตัวตามเผ่าพันธุ์ (เจ้าบ่าวแต่งแบบไหนก็ได้ไม่เคร่งครัดนัก) เจ้าสาวแต่งตัวด้วยผ้าถุงลายเสื้อขาว คลุมศีรษะด้วยผ้าขาวถือเคียวเกี่ยวข้าวมาด้วย พอถึงบ้านเจ้าบ่าว คู่บ่าวสาวจะขึ้นบันไดพร้อมกัน และเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว ทั้งคู่จะต้องก้าวข้าม “มีดกับขวาน” ที่เขานำมาวางไว้พื้นบ้านตรงหัวบันไดเสียก่อนตามความเชื่อถือของชาวลัวะ เขาถือว่าการที่คู่บ่าวสาวก้าวข้ามมีดและขวานในวันแต่งงาน จะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น มีลูกมาก มีอยู่มีกินสุขสมบูรณ์ไปตลอดชีวิต
เมื่อขึ้นสู่บ้านที่จะใช้เป็นสถานประกอบพิธีแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ญาติของเจ้าบ่าวจะนำคู่บ่าวสาวเข้าสู่หอรักทันที เป็นการส่งตัวเข้าหอพร้อมเสร็จไปเลย เมื่อส่งคู่บ่าวสาวเข้าหอแล้ว ญาติพี่น้องฝ่ายเจ้าบ่าวจะทำอาหารเลี้ยงญาติพี่น้องเจ้าสาวและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงบ่าย เมื่อเห็นว่าได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงจะทำพิธีแต่งงานด้วยการผูกแขนเรียกขวัญ ผู้เฒ่าผู้แก่หรือสะมางของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเคารพนับถือ 3-4 คน เป็นผู้ประกอบพิธีผูกแขนเรียกขวัญให้คู่บ่าวสาว พร้อมกับกล่าวคำแนะนำพร่ำสอน ให้เข้าใจในการครองชีวิตคู่ ลงท้ายด้วยการให้ศีลให้พร เป็นอันเสร็จพิธี
ในวันแต่งงานนี้ จะมีขบวนเพื่อนบ้านญาติมิตรหญิงสาวมาสมทบด้วย 3 ชุด คือ
1. ชุดแม่บ้านแม่เรือนเสื้อดำ โพกศีรษะด้วยผ้าขาว สะพายถุงย่าม ถือเครื่องปั่นฝ้าย หีบฝ้าย กวักฝ้าย รวมทั้งของที่เจ้าสาวเคยใช้มาส่งให้เจ้าสาว นอกจากนั้นยังพากันรวบรวมเงินเหรียญเงินแถบใส่ถุงย่ามไว้ให้คู่บ่าวสาวเป็นเงินก้นถุง เงินนี้จะเก็บรักษาไว้อีกหลายปีข้างหน้าจึงจะนำออกมาใช้ ของเหล่านี้จะนำเข้าไปเก็บไว้ในเรือนหอรอรักเลย ขบวนแม่เรือนนี้ มีผู้เฒ่าหมอพิธีผู้เข้าใจขั้นตอนพิธีแต่งงานเดินนำหน้าคอยชี้แนะ 2-3 คน เมื่อมาถึงพักผ่อนกินเลี้ยงแล้ว ก็จะเข้าเรือนหอขับร้องอวยพรคู่บ่าวสาวร่วมกับแม่เรือนฝ่ายเจ้าบ่าว
2. ขบวนหญิงสาวเสื้อดำคลุมศีรษะด้วยผ้าแดง ถือกระเต็งตะกร้าใส่ของกินเล็กๆ น้อยๆ มาด้วย พักผ่อนกินเลี้ยงแล้ว ตอนค่ำจะพากันร่วมขับร้องอวยพรคู่บ่าวสาวร่วมกับหนุ่มสาวญาติฝ่ายเจ้าบ่าวด้วย
3. ขบวนชายหนุ่มญาติฝ่ายเจ้าสาว ก็จะปฏิบัติอย่างเดียวกันกับขบวนที่ 2
ตอนหัวค่ำราว 18.00 –19.00 น. จะมีการลงขันด้วยเงินทองและของมีค่า เพื่อมอบให้เป็นสินน้ำใจแก่เจ้าของบ้าน เงินทองและของมีค่าที่ได้จากลงขันนี้ จะใช้ร่วมกันทั้งครอบครัว รวมทั้งคู่แต่งงานใหม่ด้วย พิธีการลงขันใช้เทียนไข 1 ห่อ เหล้า 1 ขวด เมี่ยง 1 กำ ยาสูบ 1 มัด หมากแห้ง 1 วง ใส่ในขัน แล้วให้แขกเหรื่อและญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายหย่อนเงินทองของมีค่าลงในขัน ได้สิ่งของเงินทองเท่าไร ก็จะมอบให้แก่เจ้าของบ้านดังกล่าวแล้ว จากนั้นจะมีการเลี้ยงดูกันอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ แต่พ่อแม่และญาติพี่น้องของฝ่ายเจ้าสาวยังกลับไม่ได้ ต้องนอนค้างคืนที่บ้านเจ้าบ่าว 1 คืน
รุ่งขึ้นของวันใหม่ เจ้าของบ้าน (ฝ่ายชาย) ต้องฆ่าหมูอีก 3 ตัว ทำอาหารเลี้ยงพ่อแม่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิง กินเลี้ยงกันจนเป็นที่อิ่มหนำสำราญแล้ว สายๆ ญาติฝ่ายหญิงจึงจะเดินทางกลับบ้านได้ คู่สมรสและญาติฝ่ายชายจะตามไปส่งจนถึงบ้านฝ่ายหญิง และทางบ้านฝ่ายหญิงต้องทำการฆ่าหมูอีก 3 ตัว ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับ เมื่อกินเลี้ยงเสร็จ ว่าที่ลูกเขยจะทำพิธีรดน้ำดำหัวพ่อตาแม่ยายอีกครั้ง ด้วยเสื้อผ้า ผ้าห่ม ถุงย่าม และน้ำส้มป่อย ตกตอนเย็นญาติพี่น้องฝ่ายชายจึงจะเดินทางกลับบ้าน แต่คู่สมรสยังกลับไม่ได้ จะต้องนอนค้างที่บ้านฝ่ายหญิงก่อน 1 คืน รุ่งเช้าจึงจะกลับไปบ้านฝ่ายชาย ครองชีวิตคู่กันตลอดไปจนกว่าจะแยกย้ายกันไปตั้งครอบครัวใหม่
พิธีการแต่งงานแบบลัวะนี้ เป็นพิธีที่ยุ่งยากมาก เพราะการถือตามประเพณีเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อย่างเคร่งครัด ยุ่งยาก และสิ้นเปลืองมาก แม้แต่ในหมู่ลัวะด้วยกันก็ยังบ่นว่า กว่าจะเสร็จพิธีแต่งงาน ก็แทบจะบ้าตายและเหนื่อยหน่าย แต่งงานแต่ละครั้งสิ้นเงินทองข้าวของไปมากกว่าที่จำเป็น ผู้นำชาวลัวะผู้เป็นสะมางของบ้านช่างหม้อน้อย ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน คือนายมอญ ม่อนตา ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “ฆ่าควายขนาดใหญ่ 1 ตัว หมู่ 15 ตัว ไก่อีกหลายสิบตัว เหล้าอีกไม่รู้เท่าไร ยิ่งคนมีฐานะก็ยิ่งสิ้นเปลืองมาก”
เมื่อแต่งงานอยู่กินฉันภรรยาสามีกันแล้ว หากประสงค์จะหย่าร้างก็ย่อมทำได้ แต่ในหมู่ชาวลัวะนั้นการหย่าร้างแทบจะไม่มีเอาเลย ถ้าฝ่ายชายเป็นฝ่ายขอหย่า สินสอดเงินหมั้น และทรัพย์สมบัติทั้งหมด จะตกเป็นของฝ่ายหญิง แต่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายขอหย่า พ่อแม่ของฝ่ายหญิง จะต้องส่งสินสอดทั้งหมดคืนให้แก่ฝ่ายชาย (สินสอดเงินหมั้นก่อนจะแต่งงาน) ถ้าไม่คืนให้ หรือส่งคืนให้ไม่ครบตามจำนวนที่เคยมอบให้ ก็จะถูกปรับไหมอย่างหนักเช่นกัน การประพฤตินอกใจคู่ครองนั้น ชาวลัวะถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะให้อภัยกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะภรรยาที่ประพฤตินอกใจสามีจะถูกตราหน้าว่าเป็นกาลีบ้านเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะถือว่าเป็นการผิดกฎผิดจารีตของเผ่าอย่างรุนแรงแล้ว ยังถือว่าเป็นการผิดผี และเป็นบาปอย่างมหันต์ด้วย
ในกรณีที่เกิดการหย่าร้างขึ้น ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะแต่งงานใหม่ได้ ถ้าเป็นม่ายเพราะคู่ครองตาย ฝ่ายชายแต่งใหม่ได้ แต่ฝ่ายหญิงจะแต่งงานใหม่ไม่ได้ และหากฝ่ายชายประสงค์จะมีเมียน้อย เมียมากอย่างสังคมเมือง ก็ทำได้ แต่สังคมแบบเก่าดั้งเดิมของชาวลัวะเขาไม่นิยมกัน นิยมผัวเดียวเมียเดียว เคร่งครัดในศีลธรรมประเพณี.
|
|
|
|
|