กรรม คือ การกระทำ เรียกว่าเป็นเหตุก็ได้ หรือ มัคคก็ได้ คนไทยนิยมใช้คำว่ากรรมซึ่งเป็นเหตุว่า ..ผล..ใช้คำว่ากรรมว่าเป็น ผล ...ซึ่งผิดสภาวะธรรมที่เป็นจริง
ในที่นี้จะเรียกรวมๆว่ามัคคก็แล้วกันเข้าใจง่ายดี
วิบากกรรม ก็คือ ผลของการกระทำ หรือ ผลกรรม หรือ ผล นี่คนไทยมักเรียกสั้น ๆ ว่ากรรม ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของเหตุ และผล เพราะใช้ภาษาผิดความหมาย ผิดสภาวะธรรม
เรียกให้ไพเราะว่า "ผล คือ วิบากแห่งมัคค " นั่นเอง
ผลกรรมพอจะแบ่งได้ 3 ประเภท
1. ผลกรรมที่ให้ผลตามกาล(คราว)
1.1.ผลกรรมให้ผลในภพนี้ ( ให้ผลทันตาเห็น )
ได้แก่ผลทานบริสุทธิ์ที่ถวายแก่ ผู้ออกจากฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ และ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ซึ่งเราเป็นผู้ถวายเป็นคนแรกหรือกลุ่มแรก ก็จะได้สมบัติทันตาเห็น
ได้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรเจริญมัคคปฏิปทา บรรลุฌานสมาบัติ 1 - 8 ก็ดี....บรรลุมัคค 4 ....ผล 4 ก็ดี ....สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติก็ดี จะได้ปีติ สุข อุเบกขา ตลอดจนญาณปัญญาทันตาเห็นทีเดียว
1.2.ผลกรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า ( ให้ผลในชั่วโมงหน้า วันหน้า เดือนหน้า ปีหน้า ชาติหน้าได้ด้วย )
1.3.ผลกรรมให้ผลในภพต่อๆไป ( ให้ผลในชั่วโมงต่อไป วันต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป ชาติต่อๆๆไปได้ด้วย )
1.4.ผลกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว/อโหสิกรรม/ ( เป็นผลกรรมล่วงกาลเวลาแล้ว เลิกให้ผลแล้ว เปรียบเสมือนเมล็ดพืชที่ต้นอ่อนข้างในตายแล้ว ย่อมเพาะไม่ขึ้น )
2. ผลกรรมให้ผลตามกิจ
2.1.ผลกรรมแต่งให้ไปเกิดใหม่ ( สามารถยังผู้กระทำกรรมนั้น ให้เคลื่อนจากภพหนึ่ง ไปถือปฏิสนธิในภพอื่น เช่นฆ่าตัวตาย ถูกผู้อื่นหรือถูกอมนุษย์ฆ่าตาย ทำบุญกุศลไว้มากหมดอายุขัยที่จะเสวยผลสุขได้ในโลกมนุษย์ ต้องไปเกิดในโลกสวรรค์ )
2.2.ผลกรรมสนับสนุน ( ไม่อาจแต่งปฏิสนธิเอง ต่อเมื่อผลกรรมในข้อ 2.1 แต่งปฏิสนธิแล้ว จึงเข้าสนับสนุนส่งเสริมผลกรรมในข้อ 2.1 นั้น เช่น ผมได้มาพบกับผู้ใจดีมีปัญญาเป็นต้น )
2.3.ผลกรรมบีบคั้น ( เมื่อผลกรรมในข้อ 2.1 แต่งปฏิสนธิแล้ว ก็เข้าบีบคั้นผลกรรมแห่งข้อ 2.1 นั้น ไม่ให้ให้ผลได้เต็มที่ เช่น ชายหญิงเป็นคนดีมีความรู้มีความสามารถ แต่บังเอิญได้คู่ครองที่ไม่เอาไหน ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมก็ซวยได้เหมือนกัน )
2.4.ผลกรรมตัดรอน ( ย่อมตัดรอนผลกรรมในข้อ 2.1 และ 2.2 ให้ขาดเสียทีเดียว เช่น เกิดเป็นผู้หญิงที่สวยงาม ถ้าประกวดแล้วได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลแน่นอน แต่เกิดอุบัติเหตุเสียโฉมเสียก่อน ไม่เสียชีวิตแต่แค่เสียโฉม )
3. ผลกรรมให้ผลตามลำดับ
3.1.ผลกรรมหนัก หรือครุกรรม ผลกรรมใดหนักผลกรรมนั้นให้ผลก่อน
ในฝ่าย "อกุศล" อนันตริยกรรม 5 เป็นผลกรรมที่หนักที่สุด ได้แก่ผลกรรม ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรห้นต์ ประทุษร้ายให้พระพุทธเจ้าทรงห้อพระโลหิต และยุยงทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ตายแล้วไปนรกก่อน
ในฝ่าย "กุศล" ฌานสมาบัติ 8 เป็นผลกรรมหนักที่สุด ตายแล้วไปพรหมโลกก่อน แต่คนมักไม่ค่อยไปเพราะมันมีความสุขสบาย คนไปนรกกันมากกว่า....เพราะชักชวนมารักษาศีลไม่ค่อยมา ชักชวนยกพวกไปตีกันชอบไป
3.2.ผลกรรมชิน ( ได้แก่ผลกรรมที่เคยทำมามาก ทำมาบ่อยๆ จนชินติดเป็นนิสัย เช่นรักษาศีลเป็นนิสัย นั่งสมาธิเป็นนิสัย ฆ่าสัตว์เป็นนิสัย ลักขโมยเป็นนิสัยเป็นต้น )
3.3.ผลกรรมเมื่อจวนเจียน/ผลกรรมอันทำเมื่อจวนจะตายใกล้จะตาย เช่น ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงบาปเวรที่เคยทำก่อนจะตาย
3.4ผลกรรมสักแต่ว่าทำ/ผลกรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ไม่เจตนาให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่นหกล้มทับมดตายไปด้วย เป็นต้น
คำว่าอโหสิกรรมตามความหมายที่แท้จริง
มุ่งหมายเฉพาะพระอรหันต์ขีณาสพผู้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้วเท่านั้นที่มีอโหสิกรรม/ผลกรรมให้ผลสำเร็จแล้วไม่ให้ผลอีกแล้วครับ
ยังเสวยขันธ์ 5 เหลืออยู่ตราบใดกรรมวิบากย่อมติดตามให้ผลอยู่ตราบนั้นครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ขีณาสพ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ละเว้น ผลกรรมคอยจดจ้องที่จะให้ผลอยู่จนตลอดอายุขัย ทั้งกุศลวิบาก และ อกุศลวิบาก เพียงแต่ผลกรรมเหล่านั้นจะตามทันหรือไม่เท่านั้นเอง เช่นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ยังทรงปวดพระเศียร ปวดพระปริษฎางค์ ทรงห้อพระโลหิตที่พระบาท มีพระปัญญามาก มีโภคทรัพย์มาก มีบริวารมากเป็นต้น
.....เราเคยทำกรรมล่วงเกินผู้มีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรมก็ตาม แม้พวกเขาเหล่านั้นจะยกโทษให้/กล่าวอโหสิกรรมให้แล้วก็ตาม ใช่ว่าวิบากกรรมนั้นจะสิ้นสุดแต่เพียงแค่นั้นก็หาไม่ เรายังมีขันธ์ 5 อยู่ตราบใดก็จะมีกรรมวิบากนั้นรอคอยตามติดที่จะให้ผลต่อไปทุกภพทุกชาติตราบ เท่าเข้าสู่พระนิพพานครับ
กรรมวิบากจะให้ผลได้หรือไม่ได้ จะให้ผลเมื่อไหร่ นอกจากประเภทของวิบากกรรม 3 ประเภทนั้นแล้ว ยังมีปัจจัยอย่างอื่นอีกครับ
ใด้แก่
................รูปสมบัติ
................ภพสมบัติ
................กาลสมบัติ
................และประโยคสมบัติ
รูปสมบัติ
....รวมทั้งผู้ที่มีรูปสวย เสียงเพราะ มีปัญญาฉลาด มีชาติตระกูลสูง อกุศลวิบากจะยังไม่ให้ผลมากนัก แต่กุศลวิบากจะให้ผลมากกว่า เช่น คนรูปสวย เสียงเพราะ แม้เกิดในตระกูลที่ยากจน เมื่อโตขึ้นได้โอกาสเป็นดารา นักร้อง ก็ร่ำรวย มีความสุขในทรัพย์สมบัตินั้นได้ หรือ สาวสวยคนจนมีเศรษฐีมาสู่ขอก็มีความสุขได้ครับ ..แต่ลูกเศรษฐีขี้เหร่และเลว คนจน ๆอาจต้องทำความเคารพนะครับ
ภพสมบัติ
................ทุคติภพ แม้จะเคยสั่งสมบุญมามากแต่ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ...ก็มีแต่อกุศลวิบากเท่านั้น ที่จะมาคอยให้ผลจนโงหัวไม่ขึ้นครับ
................โลกมนุษย์ ให้ผลได้ทั้งอกุศลวิบากและกุศลวิบาก
................สวรรค์และพรหม ให้ผลเฉพาะ กุศลวิบากเท่านั้น บนสวรรค์จึงไม่มีสัตว์เดรฉานครับ มีแต่ทิพย์สมบัติครับมีต้นไม้ทิพย์ ดอกไม้ทิพย์ให้ชื่นชม
กาลสมบัติ
................กาลที่พระเจ้าจักรพรรดิ์เกิดขึ้นในโลก
................กาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก
ในกาลนี้อกุศลวิบากจะยังไม่ให้ผล เพราะบุญบารมีของพระองค์ท่านห้ามไว้ เราจึงอยู่ในกาลนั้นอย่างมีความสุข แต่ให้ระวังกาลแบบคนเลวมาเกิดพร้อม ๆ กัน อย่างฮิตเล่อร์นะครับแล้วจะหนาว...!
ประโยคสมบัติ
.........คือความประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลสัจจ์ครับ ถ้าให้ทาน รักษาศีล รักษาฌานสมาบัติ ผลสมาบัติเอาไว้คงมั่น อกุศลวิบากก็ห่างออกไปเรื่อยๆครับ มีความสุขครับ
เกิดมาไม่หล่อ ไม่สวย แถมยากจนอีกต่างหาก แต่พยายามประพฤติธรรม รักษาศีล รักษาฌานเอาไว้นี่แหละครับ คนแบบนี้อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ใคร ๆ ก็เลื่อมใสศรัทธาเชื่อถือยกย่องในบั้นปลายของชีวิต
กรรม เหล่านี้ ก็คือ การทำผิดศีลทั้ง 5 ข้อ ในอดีตนั่นเอง รายละเอียดและสาเหตุ ของโรคภัยทั้ง 12 ก็มีดังนี้ครับ
1. โรคความดัน มีสาเหตุมาจากกรรม มักโกรธ (ศีลข้อที่ 1 ด่างพร้อย ยังไม่ขาดนะ ยังเป็นขนาดนี้เลยนะเนี่ย)
2. โรคลำไล้เป็นแผล สาเหตุคือ กรรม ทรมาณนักโทษด้วยการให้อดอาหาร (ศีลข้อ 1 ด่างพร้อยมากกว่าข้อ 1)
3. โรคแผลเน่าตามตัว ติดเชื้อไปถึงเส้นเลือด ต้องถ่ายเลือด 36 กระปุก เกือบตาย ถ้าไม่ได้บุญช่วยไว้ โรคนี้มีสาเหตุจาก กรรม จับนักโทษขังคุกขี้ไก่ ที่สกปรกไปด้วยอาจม ทำให้นักโทษป่วยเป็นแผลเน่าพุพอง (ศีลข้อ 1 ถ้าถึงตายก็ขาด)
4. โรคหอบหืด มาจาก กรรม ทรมาณนักโทษด้วยการให้ทำงานอย่างหนัก แทบไม่ได้พัก (ศึลข้อ 1 ด่างพร้อยหรือถ้าถึงตายก็ขาด)
5. โรคหัวใจ มาจาก กรรม ใช้แรงงานสัตว์ และทาส มากเกินไป จนไม่ได้พัก (ศีลข้อ 1)
6. เจ็บปวดตามร่างกาย มาจากกรรม ทรมาณนักโทษด้วยการทุบตี (ศีลข้อ 1)
7. มือชาเท้าชาปากชา มาจาก กรรม ทุบตีและด่าว่าภรรยา ในอดีต (ศีลข้อ 1 ด่างพร้อยแถมด้วยข้อ 4 ด้วย ซึ่งข้อ 4 ศัลขาดเลย)
8. โรคเบาหวาน มาจาก กรรม ฆ่าสัตว์ทำอาหาร (ศีลข้อ 1 ขาดแน่นอน)
9. โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ มาจาก กรรม เหนียวหนี เป็นหนี้ไม่ค่อยยอมใช้ และกรรมเจ้าชู้ (ศีลข้อ 2 และข้อ 3 รวมกัน)
10. โรคขี้ลืม เมื่ออายุมากขึ้น มาจาก กรรม มุสาวาท หรือโกหก ในทางธุรกิจ (ศีลข้อ 4)
11. โรคปอด จนต้องตัดปอดไป 1 ข้าง มาจาก กรรม สูบบุหรี่ (ศีลข้อ 5)
12. โรคภูมิแพ้น้ำหอม ควันบุหรี่ มาจาก กรรม ดูดยาเส้น และพ่นไปรบกวนผู้อื่น (ศีลข้อ 5 แต่พ่วงเบียดเบียนผู้อื่น ข้อ 1 ด่างพร้อยเข้าไปด้วย)
ความไม่มีโรคเป็น ลาภอันประเสริฐ ความมีโรคเป็นทุกข์ อย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อเรารู้สาเหตุที่แท้จริงของโรคต่างๆ แล้ว ก็ป้องกันตัวกันให้เต็มที่เลยนะครับ ด้วย ทาน ศีล ภาวนา
สาเหตุของกรรมจากโรคต่าง ๆ
พุทธพจน์ ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกมีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วย่อมกลับไปเกิดในนรกมีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกมีน้อย
โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรก ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก
ในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย!
สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นเทพยดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้ว
ย่อมกลับไปเกิดในนรกในกำเนิดสัตว์ เดียรัจฉานในเปรตวิสัยมีประมาณมากกว่า
มาดูกฏแห่งกรรมบ้าง
1.อายุยืน ไม่ฆ่าสัตว์ในชาติที่ผ่านมา ให้สัตว์เป็นทาน ทำทานด้วยยารักษาโรค
2.รวย บริจาคทานมากเหมือนพวกฝรั่งนั้นเอง รวยมากๆ
3.หน้าตาดี รักษาศืล สร้างพระพุทธรุป ถวายเสื้อผ้าเป็นต้น
4.ตัวดำ ผมหยิก กรรมมักโกรธ
5.โลหิตจาง ออกเงินกู้ดอกโหด
6.ฉลาด ส่งเสริมการศึกษา นั่งสมาธิ
7.โรคหัวใจ เคยพูดเจ็บๆแสบๆ กรรมฆ่าสัตว์
8.ภูมิแพ้ พูดให้คนอื่นเจ็บปวด กรรมปานาติบาตเล็กน้อย
9.ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำทานตลอดชีวิต
10.เป็นผู้นำ ไม่อิจฉาผู้อื่น
11.ไม่มีพ่อแม่ กำพร้าพ่อแม่ กรรมที่ไม่ได้ดูแลบิดามารดา หรือเคยพูดว่าไม่อยากมีพ่อแม่แล้ว เลยเป็นกรรมติดมา
12.หน้าเป็นปานแดง ดำ เคยทิ้งขยะที่วัด ทำให้วัดสกปรก
13.เป็นผู้หญิง มีกรรมเจ้าชู้
14.เป็นเกย์ กรรมเจ้าชู้สูงกว่าผู้หญิง
15. ทอมดี้ สูงกว่าเกย์ และหญิง
16.พวกนิโกร คือพวกที่มีกรรมมักโกรธสูงมาก
17.เป็นบ้า ปัญญาอ่อน ดื่มสุรา
18.เป็น หมา กรรมเจ้าชู้ เป็นเศษกรรมก่อนมาเป็นคน
19.มะเร็งเต้านม มดลูก กรรมเจ้าชู้
20.มะเร็ง ตับ ปอด ลำไส้ กรรมปานาติบาต
21.ไต ออกเงินกู้ดอกโหด
22.ฆ่าตัวตาย เคยฆ่าตัวตายมาก่อน พูดให้คนอื่นเจ็บจนฆ่าตัวตาย
23.มีญาติ พ่อแม่ ขี้เมา เคยเลี้ยงเหล้าและซื้อเหล้า เป็นนาย-นางแบบถ่ายโฆษณาเหล้า
24.เกิดในตระกูลสูง บูชาบุคคลที่ควรบูชา
25.มีบริวารมากและเป็นมีคนช่วยเหลือ เคยชวนคนทำความดี
26.อุบัติเหตุกรรม ปาณาติบาตรุนแรง หลายชาติมาส่งผล
27. เคยมีทรัพย์สิน และถูกทำลายโดยธรรมชาติ โดยไฟเผา เคยลักขโมย หรืออาจเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากมิจฉาอาชีพ เช่นขายเหล้า ขายตัว ทรัพย์ที่ได้มาจะวิบัติถ้าไม่วิบัติชาตินี้ก็วิบัติชาติหน้า
28.เกิดในชนบท ถิ่นกันดาร กรรมที่ทิฐิมานะ หยิ่ง
29.ผิวดี ทำทานด้วยเสื้อผ้า
30.มีแต่เพื่อนชั่วๆ กรรมที่คบคนพาล
31.พบสัตว์ที่ดุร้ายเช่นเสือ มีกรรมปานาติบาตปนโทสะ
32.ฟันไม่สวยเหยิน กรรมที่ปากไม่ดี พูดโกหกชอบว่าเพื่อนจนเพื่อนเจ็บใจ
33.เอดส์ กรรมเจ้าชู้รวมกับกรรมฆ่าสัตว์ ...จากหนังสือ กฏสวรรค์
ตบ ยุง ผิดศีล
เรื่องตบยุงนี่นะครับ แทนที่จะแค่คิดว่าบาปหรือไม่บาป ผมอยากให้คุณมองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไปเลยว่า เรากำลังอยู่ในจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง นับตั้งแต่ระดับกาแล็กซีชนกัน ดวงดาวชนกัน เมฆชนกัน เครื่องบินชนกัน รถไฟชนกัน รถยนต์ชนกัน คนชนกัน เรื่อยลงไปจนถึงระดับอะตอมชนกัน
นี่คือจักรวาลแห่งการ กระทบกระทั่ง ตราบเท่าที่คุณยังอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ อย่างไรคุณก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปไม่พ้น เพราะมันคือธรรมชาติขั้นพื้นฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม
สิ่งมี ชีวิตกระทบกระทั่งสิ่งมีชีวิตด้วยรูปแบบที่พิสดารกว่าการกระทบกระทั่งของ สิ่งไร้ชีวิต และรูปแบบของการกระทบกระทั่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การรบกวนให้รำคาญกัน ทำให้เจ็บใจกัน หรือกระทั่งทำให้แค้นแน่นอกขนาดคิดลงมือประหัตประหารกัน
จิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้เสวยภพแห่งการมีภาวะอะไรอย่างหนึ่งก็ด้วยการจองเวรกันไปจองเวรกันมา อยากกระทบกระทั่งกันไม่เลิกรานี่เอง
คุณ ถูกยุงเบียดเบียนแล้วยุงก็เหมือนเป็นสัตว์ตัวจ้อยไร้ค่า ตบให้ตายๆไปเสียก็ไม่เห็นจะผิดแปลก แต่เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ค่าของชีวิตยุง เรื่องของเรื่องอยู่ที่คุณมีเจตนาฆ่า พยายามฆ่า และฆ่าสิ่งมีชีวิตสำเร็จ
เมื่อ ยังมีความยินดีในการฆ่า ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีวนเวียนอยู่ในวงจรของการผลัดกันฆ่า ต่อเมื่อหมดความไยดีในการฆ่าอย่างไร้เงื่อนไข จึงจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้อโหสิ และพร้อมจะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่ร่วมจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่งเสียที
ลองดูปาฏิหาริย์ของการไม่คิด เบียดเบียนกันและกันเถิดครับ คุณไม่ตบยุง ยุงก็ไม่กัดคุณ หรือถึงกัดก็กัดน้อย ยิ่งถ้าหากเจริญสติได้จนถึงภาวะหนึ่งที่จิตรินเมตตาออกมาเอง ก็เหมือนทุกที่ที่คุณอยู่ แทบปลอดจากการรบกวนจากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดเลยที เดียว
ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติที่กล่าวข้างต้น ไม่ใช่ทำกันวันสองวันนะครับ แต่ต้องพิสูจน์ใจกันเป็นเดือนเป็นปี กระทั่งธรรมชาติแน่ใจแล้วว่าคุณอยากออกจากวัฏฏะแห่งการเบียดเบียนแน่ๆ ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ทรงศีลจึงแสดงตัว
ตรง ข้าม คงเห็นกันนะครับว่ายิ่งมีจิตประทุษร้ายมาก คิดฆ่ามากๆ ก็จะยิ่งถูกรบกวนมากเป็นเงาตามตัว เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ในที่สุดคุณจะพบกับความจริงว่า โลกนี้แต่ละคนมีที่ยืนเฉพาะตนอยู่ที่หนึ่ง เป็นแนวโน้มว่าจะต้องกระทบกระทั่งหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นมากน้อย เพียงใด และที่ยืนนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือจิตของแต่ละคนที่เป็นผู้มีศีลหรือไร้ศีลนั่นเอง