บันทึกนรกภูมิ
ผมนั่ง กรรมฐานอธิษฐาน จิตไปสู่นรกภูมิ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผม มืดสลัว รอบบริเวณนั้น มีไอชื้น และมีกลิ่นอับ เหม็นเน่า ลอยอยู่ทั่ว ผมมองไปทางขวามือ เห็นยมฑูตองค์หนึ่งเดินตรงเข้ามา และหยุดอยู่ตรงข้างหน้าผม ลักษณะการแต่งกายของยมฑูต นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ไม่สวมเสื้อ ที่แขนมีผ้าถัดสีแดงสวมอยู่ หน้าตาดุ มีหนวด
ผมบอกกับยมฑูต ว่า ผมต้องการพบกับพระภิกษุที่ตกนรกขุมนี้ แล้วยมฑูตก็นำทางผมไป ทางข้างหน้าที่เดินไป ยังคงเป็นสภาพเดิม บรรยากาศสลัวมืด มีกลิ่นเหม็นสาบคล้ายกลิ่นซากศพ จากทางนี้มองออกไปข้างหน้า มีแสงสว่างสลัว ๆ อยู่เบื้องหน้า ทางขวามือของเส้นทางที่ผมเดินไปมีป้ายชื่อแดนปักไว้ ผมเดินไปอีกสักครู่ก็มองเห็นยมฑูตสององค์ กำลังนำพระภิกษุรูปหนึ่งเดินตรงมาทางผม ลักษณะการแต่งกายของพระภิกษุรูปนี้ แต่งกายสวมจีวร ที่คอสวมสร้อยประคำ ร่างกายดูอิดโรย ซีดเซียว ที่หน้าผากของพระภิกษุรูปนี้มีรอยสักด้วยหมึกสีแดงว่า “นรกขุม 7”
“มึงทำกรรมชั่วอะไรเอาไว้บนโลกมนุษย์ มึงพูดไปให้หมด อย่าปิดบังนะมึง” ยมฑูตตวาดพระภิกษุรูปนั้น
พระ ภิกษุรูปนี้ เล่าให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ บวชเป็นพระมาประมาณ 15 ปี กระทำความผิดไว้มากมาย ได้เคยล่อลวงหญิงสาวคนหนึ่งมาข่มขืนแล้วทอดทิ้ง และหนีมาบวช ด้วยเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้สร้างบาปไว้ในพระพุทธศาสนา โดยได้ขโมยเงินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญไปใช้บำเรอความสุขส่วนตัว ไม่สนใจกิจของสงฆ์ จึงทำให้เขาต้องรับทุกข์ทรมานเช่นนี้
“ยังมีอีก มึงว่าไปให้หมด” ยมฑูตตะคอกใส่พระภิกษุ เสียงดัง
วิญญาณพระรูปนี้ได้เล่าให้ผมฟังอีกว่า เมื่อสมัยบวชเป็นพระภิกษุได้ทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน กรรมนี้ ทำให้เขาต้องถูกลงโทษในนรก
ผมได้บอกกับยมฑูตว่า ผมอยากเห็นสภาพการลงโทษพระภิกษุรูปนี้ เพื่อจะได้นำไปเขียนให้มนุษย์ได้รู้ถึงบาปกรรม
จาก นั้น ยมฑูตทั้งสองก็ได้เอาพระภิกษุรูปนี้ไปลงโทษ เมื่อถึงสถานที่ลงโทษ ยมฑูตก็ดึงจีวรของพระภิกษุรูปนี้ออก หน้าตาของพระภิกษุแสดงถึงความตกใจและหวาดกลัว และยมฑูตก็ได้ผลักพระภิกษุล้มนอนลงบนพื้นดิน พร้อมกับพูดว่า “มึงทำอย่างที่มึงเคยทำ”
ภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็ได้กระทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน ทางด้านซ้ายมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสูงเหนือเข่าเล็กน้อย ขนสีน้ำตาล ตาสีมันวาว ท่าทางดุร้าย มันได้วิ่งเข้ามากัดอวัยวะเพศของพระภิกษุรูปนั้น
“โอ้ย ๆ กลัวแล้วครับ ผมกลัวแล้วครับ”
พระ ภิกษุรูปนั้นร้องด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับดิ้นไปดิ้นมาด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ที่ใบหน้ามีน้ำตาไหลออกมา สุนัขได้กัดอวัยวะเพศของพระภิกษุรูปนั้นจนแหลก และยมฑูตก็ได้นำสุนัขตัวนั้นไป
ต่อจากนั้น ยมฑูตก็ได้นำพระภิกษุรูปนี้ไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วผลักพระภิกษุล้มลงบนพื้น ข้างหน้าของพระภิกษุรูปนี้ มีแสงรัศมีสว่าง สีน้ำตาลแผ่ออกมารอบ ๆ เมื่อรัศมีของแสงได้ส่องมาถูกตัวของพระภิกษุ พระภิกษุรูปนี้ก็ได้ดิ้นทุรนทุรายเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และร้องครวญครางอย่างโหยหวน เมื่อผมเพ่งไปในใจกลางรัศมีนั้น ก็มองเห็นเป็นผลึกสีชาก้อนใหญ่ วางอยู่บนหิน
ผมไต่ถามจากยมฑูตว่า ทำไมพระรูปนี้ จึงต้องรับกรรมในลักษณะนี้
ยมฑูต ได้เล่าให้ผมฟังว่า พระภิกษุรูปนี้ ไม่ปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ ต้องอาบัติ จึงได้รับกรรมเช่นนี้
การ ลงโทษพระภิกษุยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้ ยมฑูตได้นำพระภิกษุเดินตรงไป สภาพข้างหน้าที่ปรากฏ เป็นบ่อน้ำกรดหลายบ่อ ผมมองเห็นผีอยู่ในบ่อมากมาย
ยมฑูตได้ทิ้งตัวพระภิกษุลงกับพื้น แล้วสั่งให้ พระภิกษุรูปนั้น เอามือแช่ลงไปในบ่อ
“มึงเอามือลงไปแช่ในบ่อเดี๋ยวนี้ ” ยมฑูตสั่งด้วยเสียงที่ดุและเฉียบขาด
ผม ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังอยู่ทั่วบริเวณนั้น วิญญาณเหล่านั้นกำลังถูกยมฑูตลงโทษ บางตัวที่เอามือแช่ลงไปในบ่อได้รับความเจ็บปวด ร้องออกมาเสียงดังและโหยหวน ตาเหลือก หน้าตาบูดเบี้ยว เนื้อที่ติดอยู่กับกระดูกก็ละลายไปกับน้ำกรด เหลือแต่กระดูกสีขาวโพลน พระภิกษุรูปนี้รับผลกรรมที่ได้นำเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนบริจาคให้ กับไว้ไปใช้ส่วนตัว จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้
ความเจ็บปวดที่วิญญาณนั้น ได้รับ เสียงร้องที่ดังโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มีสภาพทุกขเวทนา เป็นผลกรรมที่จะต้องได้รับ เป็นกรรมที่ตนเองได้กระทำขึ้นมาทั้งสิ้น
จากนั้น ยมฑูตก็ได้นำวิญญาณพระภิกษุรูปนี้ มาอยู่ตรงหน้าผม สภาพของพระภิกษุรูปนี้เหมือนซากศพเดินได้ก็ไม่ปาน
ผมได้สอบถามพระภิกษุรูปนี้ ว่ามีความรู้สึกเช่นไรที่ได้รับผลกรรมอย่างนี้ในนรก
“มัน สุดแสนจะทรมาน ข้าวก็ไม่ได้กิน ได้กินแต่ขี้วันละ 5 ขัน ไม่กินก็ไม่ได้ ยมฑูตก็บังคับ” พระภิกษุเล่าให้ผมฟังด้วยสภาพร้องไห้น้ำตานองหน้า
ผมได้จดจำเรื่องราวต่าง ที่ได้พบในครั้งนี้เอาไว้ และได้อธิษฐานจิต “ขอแบ่งบุญให้แก่วิญญาณพระภิกษุรูปนี้ด้วย”
เยี่ยมนรก
เยี่ยมเมืองนรก โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้ ... อ่านต่อ..
|
ตายแล้วฟื้น
ตายแล้วฟื้น เรื่องเล่าที่ควรศึกษา เพื่อการดำรงค์ชีพ ... อ่านต่อ.. |
|
|
พระมาลัย เยี่ยมเมืองนรก
ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้
พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์ ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า
"พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"
ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที.......
4 ภาคคือ
ภาคท่องนรก
ภาคท่องแดนมนุษย์
ภาคท่องแดนสวรรค์
ภาคท่องแดนศาสนาพระศรีอาริย์