อย่าคิดว่าตัวท่านนั้นอ่อนแอ
หรือคิดแต่ท้อแท้ และแพ้พ่าย
จงคิดว่า จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยไป
แกร่งทั้งกายและจิตใจ ไม่พรั่นพรึง
นอนไม่หลับ เป็นปัญหาใหญ่เข้าขั้นรุนแรง เกิดจากความเครียด ความกลัว วิตกกังวล กลัววันพรุ่งนี้ มีเงินไม่พอจ่าย จะทำยังไงดี คิดมากๆ น่าเห็นใจมาก ไหนจะเรื่องความรัก ไหนจะหนี้สิน อากาศร้อนอบอ้าว กลัวคนร้าย กลัวอาหารเป็นพิษ คิดแล้วกลัวไปหมด
อันที่จริง เป็นแค่ทุกข์ที่มีจากวิบากกรรม ทุกข์ที่ไม่คลายจากความยึดมั่น ถือมั่น
ทุกข์ทางใจ เป็นขยะในใจ ถ้าเราปล่อยปละละเลย ปล่อยให้จิตคิดไป ไม่ดูแลรักษาจิตให้ดี เหมือนมีบ้านไม่กวาดไม่ถู ให้ขยะมาสะสมหมักหมม คั่งค้าง มากๆ เข้าก็รื้อออก กวาดออกยากและเหนื่อย ปล่อยจิตปล่อยใจให้มันล่องลอยเรื่อยเปื่อย ก็ต้องเตือนสติตัวเองว่ามากไปแล้วนะ ขยะเต็มหัว นอนตาแข็ง หลับไม่ลง รีบๆ ถอยออกมา อย่ายึดมั่นมากเกินไป
คิดว่ากวาดขยะในจิตบ่อยๆ เข้า สภาพในห้องของจิตจะได้สะอาด เหมือนกวาดถูบ่อยๆ
ยิ่งตอนนี้ ประเทศเราเหมือนจะเกิดสมดุลธรรมชาติ ภัยธรรมชาติน้ำท่วมจากภูเขาลงมาที่น้ำตกจังหวัดตรัง น้ำพาไปทีละหลายๆ ศพ เรื่องนี้ยังไม่เสร็จ มาเจอเรื่องนักศึกษาเกาหลียิงนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันในสหรัฐฯ ตายทีละตั้ง 38 ศพ
คนในโลกเยอะขึ้น เพิ่มจำนวนขึ้นมากๆ เวลาตายก็ตายทีละมากๆ พากันไปในที่เดียวกัน ไปร่วมชะตากรรมกัน และจบชีวิตพร้อมๆ กัน
เกิดมากๆ ตายทีนึงก็มากๆ เพราะทุกคนก็เกิดมามีชีวิตเดียวและก็ต้องตายทุกคน แต่วิบากกรรมก็ทำให้ไปในที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน และไปจบชีวิตด้วยกัน เหมือนนัดกันมาและนัดกันไป อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน มีต่างอายุกันบ้างผสมรวม
ฟังแล้วเป็นเรื่องเศร้าสลดใจในเคราะห์กรรม ถ้าเรามีตาทิพย์ก็อาจจะมองย้อนไปได้ว่า สาเหตุก่อนเกิดเป็นมาอย่างไร
เมื่อไม่มีตาทิพย์ก็ต้องคิดว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
หลายๆ คนชอบที่จะไปรวมกับม็อบ เวลามีการประท้วง เมื่อเกิดเหตุร้ายก็ต้องร่วมวิถีทาง แล้วแต่ว่าเหตุจะแรงจนบันดาลให้ตอนปลายแรงถึงขนาดไหน
ในอดีตเมื่อ 14 ตุลา นักศึกษาประท้วงรัฐบาลสมัยนายกฯ ถนอม กิตติขจร ในตอนนั้นคนรุ่นอายุ 50 กว่าก็ต้องจำได้ทุกคนว่า มันรุนแรงน่ากลัว
ลูกหลานของพ่อแม่หลายร้อย เป็นพันคนที่สูญหายไปกับการประท้วงในครั้งนั้น คนที่ตายก็ตายไป คนที่อยู่ก็คงเลิกไปรวมกับการประท้วงแล้ว เพราะพอแล้วเข็ดแล้ว
พวกที่ยังรักที่จะไปรวมแบบนั้น ต่อไปต้องเรียกว่า “พวกครั้งเดียวไม่เคยพอ”
ครั้งแรกรอด ครั้งต่อไปจะรอดอีกรึเปล่า ไม่มีใครตอบได้ ขี้เกียจจะคิด เรื่องบางเรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานั่งคิดอยู่คนเดียว
ตัวฉันเองก็ไม่ใช่ผู้พิพากษา และไม่ใช่พญามัจจุราช
ความกล้าหาญก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่าต้องร่วมกับม็อบทุกครั้ง และคนที่ไม่ได้ไปกับม็อบก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด
คนที่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตอย่างตรงไปตรงมา สุจริต ยุติธรรม รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ รู้จักตอบแทนคนที่เขาดีกับเรา รู้จักแยกแยะว่าอะไรคือ ความดีและความชั่ว เลือกสิ่งที่ถูกต้องให้กับตัวเอง ฉันคิดว่าแบบนี้ตรงใจและกล้าหาญ ซื่อตรงกับชีวิตของตัวเองมากกว่า
คิดถึงเมื่อ 14 ต.ค. คราวนั้นฉันเดินจากเจริญผลและข้ามสะพานพุทธยอดฟ้ามาอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน หารถนั่งกลับมาบ้านต่างจังหวัด กลับมาพบหน้าพ่อแม่ มานอนบ้านกินข้าวบ้านตามปกติ มาดูพระอาทิตย์ตก อยู่ร่วมกับพ่อแม่ ในตอนเช้าตื่นขึ้นมา เห็นแสงสีทองของดวงอาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้า เห็นความสว่างที่ค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้น เห็นถึงความโล่งใจของพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูกที่เรียนในกรุงเทพฯ หวังว่าลูกจะพบความเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย ก็ไม่มีความเจริญใดๆ รออยู่
มนุษย์เราเลือกได้ ว่าเราจะเลือกเป็นหมา หรือเป็นราชสีห์ เราเลือกได้ด้วยความคิดดี เลือกทำดี จะเก่ง จะดี จะมีศักดิ์ศรี จะมีรูปโฉม ทรัพย์อำนาจ
เราไตร่ตรองได้ มีโอกาสเลือกต้องเลือก มีเวลาคิด ต้องคิด!
คนเก่ง คนดี ก็ต้องได้รับการยอมรับจากคนเก่งและดีด้วยเช่นกัน มันเป็นเครื่องวัดมาตรฐาน
มองโลก มองคน ต้องมองด้วยใจอุเบกขา สร้างกรรมแบบไหนก็ได้รับผลตามนั้น สร้างบุญแบบไหน ก็ได้รับบุญตามนั้น ปลูกมะม่วงวันคืนผ่านไปก็ได้กินผลมะม่วง ไม่มีทางว่า ปลูกมะม่วงจะได้แอปเปิ้ล มันเป็นไปไม่ได้
ลดทิฐิลง ลดอิจฉาลง มองโลกด้ยตาที่เป็นธรรมด้วยตัวของตัวเอง เมื่อความมืดบอดทางจิตหายไป แสงสว่างก็จะเลื่อนเข้ามา เมื่อมืดที่สุดของเที่ยงคืนหมดไป แสงเงินแสงทองของดวงอาทิตย์ตอนตี 1 ตี 2 ที่ค่อยๆ เลื่อนสาดเข้ามา ปัญญาก็สว่างขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีใครมืดตลอด ยกเว้นคนบาปหนา มีมืด มีสว่าง ฉันใดก็ฉันนั้น
นอนไม่หลับมากๆ ปล่อยใจคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ห่วงลูกแค่ไหน ดึกแล้วยังไม่กลับบ้าน ถึงห่วงจนนอนตาค้างไปจนเช้า ผลก็ได้เท่าเดิม นอนเสียเถิด วางใจเสียเถิด หลับเถอะนะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะได้ไม่อ่อนเพลีย สดชื่น มีแรงทำงาน หาเงิน ไว้กิน ไว้ใช้ ไว้ให้ลูก
ชีวิตเป็นเช่นนี้เอง ปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นทุกวัน นอนไม่หลับทุกวันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ บางทีนอนให้หลับสนิท ตื่นขึ้นมาอาจมีปัญญาบังเกิด ปัญหาเมื่อคืนกับตอนเช้าอาจเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว
เอาจิตอยู่กับกาย ประคองจิตและกายให้ดำรงอยู่ได้
ถึงพรุ่งนี้ ปัญหาเกิดอีก ก็เคยเกิดแล้ว จะชินขึ้น เข้มแข็งขึ้น และแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ยามนี้เราเป็นพ่อแม่ ถ้าตอนเราเป็นวัยรุ่น เราทำให้พ่อแม่ห่วงแบบลูกทำตอนนี้ มันเป็นเรื่องของกรรมกำหนด เราทำไว้ เราก็ได้รับรู้แล้ว ก็ยังแก้ไขได้ แก้ที่เราก่อน เพราะจิตเป็นของเรา ที่ทำให้นอนไม่หลับ แก้แล้วกายเราสบายขึ้น เดี๋ยวลูกก็ค่อยๆ คิดได้เอง
ฉันใด ก็ฉันนั้น
มืดนานแล้ว เดี๋ยวก็ต้องสว่างแน่นอน