เอาชนะราคะกิเลสมารด้วยยุทธวิธี
๑. มีปัญญาความรอบรู้จากพระพุทธองค์ ครู อาจารย์ พระอริยเจ้าทั้งหลายถึงความมีโทษของตัณหาราคะ
กิเลสว่าทำให้สัตย์โลกต้องเวียนวายตายเกิดมาเป็นเวลายาวนานต้องประสบทุกข์ โทษ ภัย เวร อันตราย วิบาก ความเจ็บปวด ความเจ็บใจ ความทุกข์ โทษทันดับแค้นใจ มามากจนนับชาติไม่ได้กระดูก น้ำตา สายเลือด มากมายดุจน้ำทะเลภูเขา
๒. มองให้เห็นสัทธรรมความจริงในปัจจุบันของความรักว่า ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย หมดรักหมดทุกข์
๓. การไม่เห็น การไม่ได้ยิน การไม่พูดด้วย การไม่คลุกคลีกับเพศตรงกันข้ามอันทำให้เกิดความกำหนัด ราคะกิเลส
๔. การมองให้เห็นความจริงว่า ไม่มีอะไรสวยงามจริง มองตาก็มองให้เห็นตาว่ามีขี้ตา มีน้ำตา มองหูก็มองให้
เห็นขี้หู น้ำหนวก น้ำหนอง มองจมูกก็มองให้เห็นขี้มูก มองปากลิ้นก็มองให้เห็นขี้ฟัน น้ำลาย สกปรก มอง กายส่วนใด ก็มองให้เห็นขี้ เหยี่ยว อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเหลือง น้ำหนองที่ไหลออกจากทวารหนัก เบาก้าม เนื้อก็เต็มไปด้วย เหงื่อไคล ขี้เต่า กลิ่นเหม็น กลิ่นสาป
๕. มองให้ความสวย ความสาว ความหนุ่ม ไม่จีรังไม่หยั่งยืนไม่ถาวร ต้องแก่ ต้องเหี่ยว ต้องชรา ต้องเจ็บ ต้องตายในที่สุด
๖.มองให้เห็นความเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีตัว ไม่มีตน ที่ถาวรอะไร
๗.มองให้เห็นเป็นของเน่า ของเหม็น ของสกปรก ของเปื่อย ของต้องผุพังต้องเป็นหนอน ดุจซากผีดุจซากศพ
๘.มองให้เป็นสัทธรรมความจริงว่า ไม่มีความเป็นหญิงเป็นชายไม่มีสัตว์ บุคคลมองเห็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปตามเวลา ตามปัจจัย
๙. ให้ภาวนา เน่าหนอ เหม็นหนอ ไม่เทียงหนอ ตายหนอ พินาศหนอ น่ารังเกลียดหนอ ไม่เป็นสาระหนอ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นหนอ บ่อย ๆ นาน ๆ ทุกวัน ๆ ๆ ๆ
๑๐. นั่งสมาธิเจริญภาวนาจนจิตไม่คิดว่าสวยงาม น่ารัก น่าภิรมย์ รักใคร่สะกดจิตจนได้ รูปฌาน๑–๔ราคะ กิเลสก็ดับ
เอาชนะโมหะความหลงด้วยยุทธวิธี
วิปัสสนากรรมฐานรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า รูปกายทั้งปวง สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ความจำได้หมายรู้ทั้งปวง ความนึกคิดปรุงแต่งใจทั้งปวง ความรู้ สึกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
๑. มีความไม่เทียง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่เป็นเราของเรา ไม่เป็นใครของใคร เป็นเขาของเขาไม่มีฉันของฉัน
ไม่มีเธอของเธอ ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคล
๒.มีเกิดเป็นธรรมดา มีความเป็นอยู่ตั้งอยู่เป็นธรรมดา และในที่สุดก็มีความดับไปสลายไปเป็นธรรมดา
๓. มองเห็นความจริงในความไม่มี ไม่เป็น ไม่ได้ อะไรเลย
๔. มองให้เห็นความจริงว่า ยินดีก็ทุกข์ ยินร้ายก็ทุกข์ ติดใจก็ทุกข์ จึงคลายละ ปล่อยวางความยินดี ยินร้าย
ติดใจในสิ่งทั้งปวง
๕. มองให้เห็นความจริงว่าโลกทั้งปวง ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเพราะยึดมั่นถือมั่นก็เกิดทุกข์
๖. มองให้เห็นทุกข์ โทษ ภัย เวร อันตราย วิบากกรรม อันเกิดจากจิตปรุงแต่ง คิดมาก ปรุงมากก็ทุกข์มาก
๗. คบเพื่อน คบครูอาจารย์มีปัญญา วิชชา ความรอบรู้ ควรแนะนำตักเตือนตลอด
๘. หมั่นเจริญกรรมฐาน ทุกวันจนเกิด มรรค ผล นิพพาน