จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์
โดย ส.ธ.
ลูกหลานทั้งหลาย นิทานเรื่องนี้ ตอนแรก พูดไปมันเหนื่อยมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะการป่วยไข้ไม่สบายมันยังไม่หมด ฟังเรื่องพี่ปากแกเล่าเรื่องหนูไปฟัง ฟังไป ๆ ก็รู้สึกชอบใจ ว่านิทานนี่ดี จะทำอะไรก็ได้ หนูก็เหาะได้ สามารถเดินน้ำดำดินได้ตามชอบใจ เพราะเรื่องของนิทาน แต่ความจริงนิทานนี่ไม่ใช่เรื่องก่อขึ้นเสมอไป บางทีก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเป็นเรื่องจริงที่หาเหตุผลไม่ได้ก็ต้องบอกว่าเป็นนิทาน
ต่อ นี้ไปก็จะเล่าเรื่องของจุไรท่องเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ประวัติความเป็นมาของจุไรเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่ชื่ออะไรไม่ต้องบอก แม่เก็เป็นคนดี มีความเคารพในพระพุทธเจ้ามาก เคารพในพระธรรม เคารพในพระอริยสงฆ์ มีศีล 5 ่บริสุทธิ์เป็นปรกติ มีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขาวางเฉยเมื่อใครเพลี่ยงพล้ำไม่ซ้ำเติม แม่ตั้งอยู่ในความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้ใหญ่มาก จึงสอนให้จุไรลูกสาวเป็นคนมีเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร วางเฉยไม่ซ้ำเติมใคร เคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็มีศีล 5 บริสุทธิ์ ลูกสาวที่น่ารักของคุณแม่ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เพราะมีความกตัญญูรู้คุณ ตอบสนองคุณความดีของคุณแม่ด้วยการปฏิบัติตามทุกอย่าง แม่ไม่หนักใจ จุไรไปโรงเรียนก็มีความกตัญญูรู้คุณในครูบาอาจารย์ ไม่เคยดื้อด้าน ครูตั้งใจสอนแบบไหน จุไรตั้งใจเรียนทุกอย่าง เวลาครูสอนตาดู หูฟัง ใจติดตาม ถ้าสงสัยก็จดไว้ ตั้งใจทุกอย่าง
ฉะนั้นการศึกษาของจุไรจึงไม่น้อยหน้าใคร ครูก็ยกย่องสรรเสริญในสถานที่ทั้งหลายเมื่อไปพบผู้ใดเข้า ครูก็ยกย่องจุไรว่าเป็นเด็กแสนดี ตั้งใจเรียนดี มีความรู้ความฉลาด และครูก็ตั้งใจให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง เธอต้องการอะไรถ้าไม่เกินวิสัยของครู ครูก็ให้ทุกอย่างตามที่เธอต้องการ อันนี้เป็นผลของความดีที่เด็กตั้งใจเรียน มีความกตัญญูรู้คุณ ใครไปใครมาโรงเรียนก็อยากจะทรายว่าเด็กหญิงจุไรอยู่ที่ไหนรูปร่างหน้าตาเป็น อย่างไร เมื่อครูแนะนำให้เธอรู้จักกับใคร เธอก็ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะ ฉะนั้นบรรดาลูกหลานทั้งหลายก็ควรจะเอาอย่างจุไร เมื่อเธอกลับมาบ้านแม่ก็มีความปลื้มใจ จุไรก็มีความสุข เพราะลูกเป็นคนดี แม่เป็นคนมีศีลธรรม
วันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ อาบน้ำอาบท่าทำการบ้านแล้ว จุไรก็นั่งคุยกับแม่ ความจริงคิดจะเล่าเรื่องนิทานความฝันของจะไร ตอนนี้ก็ไม่ฝันละ เพราะมีนิทานตัวอย่างแล้ว ขึ้นชื่อว่านิทานอะไรก็ได้ ใครจะหาว่าเป็นการมุสาวาทก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของนิทาน ขอเล่าว่าเวลาตอนค่ำ จุไรก็มานั่งนึกถึงหนุมานตอนที่พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ พระราม หรือ พระนารายณ์ ใช้หนุมานไปห้ามพระอาทิตย์ พระแสงพระอาทิตย์ถ้าต้องหอกโมกขศักดิ์เข้าพระลักษณ์จะตาย จุไรก็คิดว่าหนุมานเป็นลิง ก็สามารถเหาะได้ แต่เป็นลิงของพระนารายณ์มีฤทธิ์มีฤทธิ์ก็เป็นของไม่แปลก แต่ก็น่าแปลกที่พระนารายณ์เป็นนายกลับไม่มีฤทธิ์จะเหาะสู้หนุมานไม่ได้ อันนี้ก็แปลกเหมือนกัน สงสัย และต่อไปจุไรก็มาคิดว่าหนู 2 ตัว พ่อผัวเมีย แล้วก็ลูกสาวหนู ที่เขาต้องการยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของพระอาทิตย์ทั้ง 3 ก็เหมาะไปได้ถึงดวงอาทิตย์ จุไรก็เกิดความสงสัย ว่าพระอาทิตย์ในเรื่องรามเกียรติ์เป็นไฟกองใหญ่ ที่พระสุริยะเทพบุตรเอาเชือกผูกท้ายรถ และผูกดวง พระอาทิตย์ลากออกไปให้โลกสว่าง เหมือนกับเป็นคบเพลิงส่องโลกให้สว่าง มีความร้อน พอหนุมานเข้าไปไฟไหม้หมด แต่ทว่าหนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปไฟไม่ไหม้ ก็เกิดความสงสัย ถามคุณแม่ว่า
"อยากจะทราบว่าพระอาทิตย์ ความจริงเป็นไฟ หรือไม่เป็นไฟ อยู่ที่ไหน ไกลแสนไกล ทำไมหนุมานจึงไปได้ หนูจึงไปไม่ได้ และอยากจะทราบว่าทำไมหนูจึงไม่ไหม้ไฟ หนูมานไหม้ไฟแต่มีขนเพชร พระอาทิตย์ก็สามารถชุบให้เป็นตัวตนกลับเข้ามาได้"
แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็ถามว่า "จุไรลูกรัก ลูกอยากจะดูพระอาทิตย์หรือ หรือจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์"
จุไรก็บอกว่า "แสงอาทิตย์ก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ดี ลูกเห็นทุกวัน แต่ว่าเวลานี้แสงอาทิตย์หายไป มีแต่แสงจันทร์ขึ้นมาแทน เวลาตอนเช้ามีแสงอาทิตย์ ลูกคิดอยากจะไปดวงอาทิตย์ แต่ก็เกรงไฟจะไหม้อย่างหนุมาน แต่ว่าการที่หนูทั้ง 3 ตัวเข้าไปนั้น เขาเข้าทางไหนไฟจึงไม่ไหม้หนู"
แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม แม่ถามว่า "ลูกอยากจะไปจริง ๆ หรือ?"
จุไรก็บอกว่า "หนูอยากจะไป"
แม่ก็บอกว่า "การไปดูดวงอาทิตย์หรือจักรวาลต่าง ๆ เป็นของไม่หนัก ถ้าลูกมีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง มีศีล 5 บริสุทธิ์จริง มีพรหมวิหาร 4 จริง และก็มีความกตัญญูรู้คุณจริง อย่างนี้พื้นฐานดีแล้ว ถ้าสามารถฝึกจิตอีกนิดหน่อย สามารถไปเที่ยวจักรวาลต่าง ๆ ได้"
จุไรฟังแม่แล้วก็ชื่นใจ อยากจะทำตามแม่ว่า ก็ถามว่า "การเคารพพระไตรสรณาคมน์ก็ดี รักษาศีลก็ดี เจริญพรหมวิหาร 4 ก็ดี มีความกตัญญูรู้คุณก็ดี ที่หนูทำอยู่เวลานี้สมบูรณ์หรือยัง"
แม่ก็บอกว่า "ตามที่แม่ดูจริยาของลูกสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วลูก"
จุไรก็ถามว่า "ถ้าอย่างนั้นหนูอยากจะไปดูพระอาทิตย์ อยากจะไปที่ดวงอาทิตย์เลย และก็ต้องการไม่ให้พระอาทิตย์เผาผลาญเหมือนหนุมานจะทำอย่างไร?"
คุณแม่ก็บอกว่า "เป็นของไม่ยาก จุไรลูกรัก เวลานี้จุไรยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 5 ปี นิวรณ์ต่าง ๆ คือความชั่วร้ายที่เข้ามาสิงใจนี้ไม่มี จิตใจประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ ต่อนี้ไปถ้าตั้งใจ อยากจะไปดูดวงอาทิตย์จริงแม่จะพาไป"
จุไรฟังแล้วก็ยิ้มมองหน้าแม่ ถามว่า "คุณแม่ไปได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ"
แม่บอกว่า "จักรวาลต่าง ๆ แม่ไปได้หมด สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี แดนเปรต อสุรกายก็ดี ในโลกนี้ทั่วจักรวาลแม่ไปได้หมด พรหมแม่ก็ไปได้ นิพพานแม่ก็รู้จัก"
จุไรก็ถามว่า "สวรรค์มีจริงหรือ?"
แม่ก็ตอบว่า "แม่ไปมาแล้วมีจริง ๆ พรหมก็มี นรกก็มี เปรตก็มี อสุรกายก็มี นิพพานก็ปรากฏจากดวงใจอันเป็นทิพย์ของแม่"
จุไรก็ถามว่า "เขากล่าวกันว่านิพพานสูญ"
คุณแม่ก็ตอบว่า "เรื่องนิพพานสูญเป็นของจริง แต่ว่านิพพานสูญจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สูญจากความชั่วทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความชั่วนิดหนึ่งไม่มีในบุคคลที่เข้าสู่นิพพาน"
จุไรถามว่า "ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็เป็นเมือง"
แม่ก็ตอบว่า "ถ้าจะถือว่าเป็นเมืองอย่างชาวโลกก็ไม่ใช่ จะถือว่าไม่มีเลยก็ไม่ถูก เพราะว่าขึ้นชื่อว่านามธรรม อย่างนรก เขาเรียกกันว่าเมืองนรก แต่คนเราขาดความเป็นทิพย์ของใจ ไปจะไม่เห็นเมืองนรก เทวดาเขาเรียกว่าเมืองสวรรค์ ถ้าคนที่ขาดความเป็นทิพย์ก็ไม่สามารถจะเห็นสวรรค์ได้ ไม่สามารถจะเดินไปชมสวรรค์ได้ พรหมโลกเขาถือว่าเป็นเมืองพรหม เราก็ไม่สามารถจะเห็นด้วยตาเนื้อได้ ขาดความเป็นทิพย์เห็นไม่ได้ ถ้าจิตใจไม่เป็นทิพย์ก็ไปสู่แดนพรหมไม่ได้ แต่ความจริงเขามีสถานที่อยู่กัน สำหรับนิพพานก็เช่นเดียวกัน นิพพานเป็นดินแดนที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด นั่นก็หมายความว่า เป็นเมืองเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีความบริสุทธิ์น้อย คือมีคุณธรรมเพียงแค่ 2 อย่าง ได้แก่ หิริ และ โอตตัปปะ "หิริ" อายความชั่ว "โอตตัปปะ" เกรงกลัวผลของความชั่ว ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ตายจากความเป็นคนหรือสัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ แต่มีความดียังอ่อนอยู่ ถ้ามีความดีสูงกว่านั้น มีหิริและโอตตัปปะ เป็นฌานสมาบัติ คือจิตทรงตัว สามารถไปเกิดในแดนของพรหมได้ ก็เป็นเมืองพรหมเหมือนกัน แต่คนที่มีความเป็นสุขที่สุด กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมไม่มีอยู่เลยในใจ และก็จิตใจตัดความโลภ ตัดความโกรธ ตัดความหลงได้อย่างนี้ไปอยู่แดนนิพพาน
ฉะนั้นแดนทั้ง 3 นี้เป็นนามธรรม จะถือว่าสูญก็ไม่ถูก ถ้าสูญก็ต้องสูญทั้งหมด ถ้าหากว่าถือว่าไม่สูญก็ต้องไม่สูญเหมือนกันหมด
คำว่า "สูญ" ก็หมายความว่า สมมุติว่าคนตาบอด ถ้าไปคลำจะรู้จักแค่มุม ฉะนั้นคนที่มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนจะรู้จักเทวดาได้ รู้จักความเป็นทิพย์อย่างกลาง จะรู้จักพรหมได้ ถ้าบริสุทธิ์ทั้งหมดความเป็นทิพย์ทั้งหมดเข้มแข็ง สะอาดหมดจดจะรู้จักนิพพานได้ ก็รวมความว่าเรื่องนี้หนัก ลูกรัก ของมีจริง แต่ว่าอย่าเพิ่งรู้เลย รู้สั้น ๆ ก่อน ไปจักรวาลต่าง ๆ ก่อน"
จุไรก็ยอมรับ ถามคุณแม่ว่า "ถ้าหนูอยากจะไปดูดวงอาทิตย์ คุณแม่จะนำไปได้ไหม"
คุณแม่ก็ตอบว่า "แม่นำไปได้เฉพาะคนที่มีความดีพถอ ความดีในการมีศีล พรหมวิหาร 4 เคารพไตรสรณาคมน์ เพราะลูกมีพอ แต่ยังขาดอะไรอยู่นิดหนึ่ง คือความเป็นทิพย์ของจิต ถ้าสามารถชำระจิตให้มีความเป็นทิพย์อย่างอ่อนได้ แม่พาไปได้ทุกภพ"
จุไรก็ถามว่า "จะให้หนูทำอย่างไร"
แม่ก็ตอบว่า "อันดับแรก ให้หนูนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" และก็คำภาวนานี้ไม่จำกัด จะเป็น "พุทโธ" หรืออะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่เวลานี้อันดับแรกลูกภาวนานึกในใจว่า "พุทโธ" ก่อน เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" แล้วก็เวลาหายใจเข้า หายใจออกทำใจสบาย จิตใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง"
จุไรก็มองซ้ายมองขวา เห็นพระพุทธรูปที่บูชา ก็ถามคุณแม่ว่า "คุณแม่เจ้าขา องค์นี้ได้ไหม"
คุณแม่ก็ตอบว่า "ได้ พระที่เราบูชาทุกวันนี้เป็นของดีเราจำได้แม่น"
จุไรถามว่า "ทำอย่างไร"
คุณแม่ก็บอกว่า "หลับตาซิลูก ก่อนหลับตากราบพระซะก่อน กราบครั้งแรกนึกถึงว่าเรากราบพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สองนึกกราบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กราบครั้งที่สามก็นึกว่าเรากราบพระสงฆ์
จุไรกราบสามครั้ง สามครั้งไปแล้วก็เลยกราบครั้งที่สี่ หันมาทางแม่บอกว่า "คราวนี้หนูขอกราบแม่ที่มีพระคุณใหญ่" แม่ก็ยกมือรับไหว้
หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าให้จุไรนั่ง นั่งท่าไหนก็ได้ หลับตา ก่อนหลับตาดูพระพุทธรูปก่อน นึกถึงภาพจำให้ได้ แล้วก็นั่งหันหลังให้พระพุทธรูป นั่งหลับตาหายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" นึกถึงภาพพระพุทธรูป แม่ก็ถามว่า "จำได้หรือยังลูก"
จุไรก็บอกว่า "จำได้ชัดจ้ะแม่ เห็นทุกวัน"
แม่ก็บอกให้จุไรลืมตา แต่หันหลังให้พระพุทธรูป "นึกถึงภาพพระพุทธรูป จำได้ไหมลูก"
จุไรก็ตอบว่า "จำได้"
ต่อจากนั้นไปแม่ก็บอกให้จุไรหลับตา "นึกถึงภาพพระพุทธรูป ขอพรท่านว่า ต่อนี้ไปลูกจุไรจะไปดูดวงอาทิตย์ แม่จะนำไป"
จุไรก็นึกตามนั้น พอนึกตามนั้นก็ปรากฏมีกาย ๆ หนึ่งออกจากกายเนื้อ จุไรก็มีความรู้สึกว่าเรามาอยู่นอกกายมองร่างกายเดิมเต็มไปด้วยความสกปรก โสโครก กายใหม่นี่สวยกว่า แพรวพราวเป็นระยับ มีเครื่องประดับเป็นเพชร เนื้อแท้ของจุไรจริง ๆ ก็เป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตารูปร่างทรวดทรงสวยสดงดงามกว่ามาก ก็เห็นร่างกายของแม่ลอยอยู่นอกกายเหมือนกัน สวยกว่าจุไรมาก จึงได้กราบแม่ ถามคุณแม่ว่า "แม่ ทำไมเป็นอย่างนี้"
คุณแม่ก็บอกว่า "ลูกรัก การจะไปสู่โลกต่าง ๆ เราเอาเนื้อไปไม่ได้ลูก ต้องไปเฉพาะกายแท้ นี่กายของเราแท้ ๆ ร่างกายที่นั่งอยู่นั่นเป็นเปลือกหรือเรือนร่างที่เราอาศัยชั่วคราว"
หลังจากนั้น (เวลาเหลือน้อย ตอนนี้ก็ขอเล่าลัด ๆ) คุณแม่ก็พาจุไร อันดับแรกไปพระจุฬามณีเจดียสถาน ดินแดนของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เข้าไปที่นั้น ก็พบพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์สาวกมากมาย เต็มพระจุฬามณี เป็นดินแดนที่มีความสวยสดงดงามมาก แม่ก็พาจุไรเข้าไปไหว้พระพุทธเจ้า ไหวพระสงฆ์ กราบท่าน
พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ถามว่า "จุไร ลูกอยากจะไปดูพระอาทิตย์หรือ"
จุไรก็กราลทูลว่า "ลูกอยากจะไปดูเจ้าค่ะ เพราะอาศัยแสงอาทิตย์สว่างมานานหลายปี ความดีของพระอาทิตย์มีมาก ลูกจะไปขอบคุณท่าน"
เมื่อพูดเท่านั้นพระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ท่านบอกว่า "เอาละ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดกัน ถ้าอยากจะดูดวงอาทิตย์ไปที่ดวงอาทิตย์ ตามตถาคตมา"
บรรดาท่านผู้ฟังและลูกรักทั้งหลายอย่าลืมว่านี่เป็นเรื่องนิทานนะ ถ้าใครทำใจแบบนั้นได้จริง ๆ ก็ไปได้จริง ๆ เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นนิทานก็เป็นนิทานตัวอย่าง การพบพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต หรืออะไรก็ตามเถอะไม่ต้องพูดกัน เอาเป็นว่าพบได้ตามเรื่องของนิทานก็แล้วกัน อธิบายแล้วมันยุ่ง เดี๋ยวช้า
ต่อมาสมเด็จพระบรมศาสดาก็นำสองแม่ลูกมายืนอยู่ที่มุมจุฬามณี ชี้ให้ดูดวงอาทิตย์ว่า
"การมาที่นี่ไกลมาก จากโลกที่อยู่มาจักรวาลอาทิตย์ กลับมาจุฬามณีนี่ไกลกว่ากันหลายแสนเท่า ถ้าอยากจะดูก็พาไป"
ผลที่สุดท่านก็พาไปที่ดวงอาทิตย์ ทีแรกก็ลอยอยู่ข้างนอกก่อน เห็นโลก ๆ หนึ่ง แต่ความจริงที่โลกนั้นไม่มีแสง มันเป็นธาตุ ทั้งโลกเกลี้ยง และอาศัยความเป็นทิพย์เห็นไอระเหยริ้ว ๆ ๆ ออกจากโลกนั้น แล้วพุ่งออกมาไกล การเสียดสีของโลกนั้นกับอากาศ กับสิ่งที่กระแส กระจายออกมาจากโลกนั้นที่จริงระเหยกลายเป็นไฟ มีแสงสว่างมีความร้อนมาก แต่ไกลกว่าโลกนั้นมาก แต่ท่านที่ยืนอยู่นั้นไม่มีใครร้อน เพราะความเป็นทิพย์ของร่างกายคือนามธรรม หรือที่เรียกว่า "อทิสสมานกาย" ที่ไปนั้นไม่รู้จักความร้อนไม่รู้จักความหนาวเพราะขาดธาตุที่จะพึงรับ ต่างคนต่างยืนดู ลอยดูดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ แต่ว่าดูแสงไฟอยู่ไกลมีความร้อนมาก
จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า "คนหรือสัตว์จะผ่านดวงไฟกองนี้เข้าไปได้ไหมมันอยู่ทั่วโลก มันอยู่รอบ ๆ ไปหมด"
พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "ถ้ามาก็ไหม้เหมือนอย่างหนุมาน แต่สิ่งที่จะผ่านเข้าไปได้ต้องมีกำลังประมาณ 2 ล้านองศา จึงจะผ่านเข้าไปได้ แต่สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด เพราะความร้อนสูงมาก"
หลังจากนั้นไปท่านก็พาไปยืนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มองดูรอบ ๆ หมุนไปได้ตามรอบ ๆ ดวงอาทิตย์มีความหมุนไม่เหมือนโลก โลกนี่มีความหมุนกลิ้งคล้าย ๆ ส้มโอกลิ้ง แต่ว่าดวงอาทิตย์หมุนคล้าย ๆ กับของที่ตั้งขึ้นแล้วหมุนรอบตัวข้าง ๆ เหมือนกับแท่นที่หงายหน้าขึ้นหมุนแบบนั้น มองไปดูโลกมนุษย์ หมุนอ้อมดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้อ้อมข้าง อ้อมข้ามหัวไป ไปอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าอย่างไรก็ช่าง นี่มันเรื่องนิทาน
ก็รวมความว่าไปยืนมองดูดวงอาทิตย์ ก็ไม่เห็นแสงไฟข้างใน เห็นแต่ไอระเหยริ้ว ๆ ออกมาก จุไรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับบอกแม่ว่า "อยากจะเข้าไปดูข้างในว่าไฟอยู่ที่ไหน"
แม่ก็ดี สมเด็จพระจอมไตรก็ตาม ชี้ให้จุไรดูว่า "ไอระเหยรอบตัวของดวงอาทิตย์นี่พุ่งไปที่อากาศ อาศัยความเสียดสีของอากาศกับไอระเหย กับโลกที่หมุนเป็นประกายให้เกิดแสงสว่างพุ่งไปถึงโลกต่าง ๆ" นี่เรื่องนิทาน
หลังจากนั้นก็เข้าไปสู่ภายในดวงอาทิตย์ (เข้าไปในโลกอาทิตย์) เข้าไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าในนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ท่านบอกว่า มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีสภาพเหมือนคล้ายแร่แมงกานีส แต่เขาเรียกจริง ๆ ไม่ทรายว่าอะไร มันเป็นเชื้อไฟ มีความลุกโชนอยู่ตลอดเวลา แต่การลุกนาน ๆ น่าจะเผาผลาญตัวเอง ทั้งตัวนี่เป็นเชื้อเพลิงหมด แต่ทว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายว่า "ความร้อนต่าง ๆ ในโลกนี้มันแปลก มันไหม้ก็จริงแหล่ แต่ว่ามันสร้างตัวเอง แทนที่มันจะสลายตัว สิ่งที่ไหลเป็นเชื้อเพลิง แล้วมันก็สร้างตัวเองให้เกิดขึ้นมา และความร้อนที่ระเหยออกมาก็ไปเป็นดวงไฟตามที่ปรากฏ"
และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงแนะนำว่า "ความร้อนแรงของโลกจะไม่มีการลดตัวลง จากนี้ไปจะร้อนขึ้นตามลำดับ ที่กล่าวว่าใกล้จะสิ้นกัป จะมีพระอาทิตย์ดวงที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ถึงที่ 7 เกิดขึ้นตามลำดับ ความจริงเวลานี้เกิดแล้วแต่ละดวงจับก้อนแล้วเป็นกลุ่มแล้วแต่ยังโตไม่พอ ถ้าดวงไหน อย่างดวงที่ 2 โตพอ ก็จะเกิดแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ดวงนี้ แต่ดวงอาทิตย์ดวงเดิมก็จะร้อนมากขึ้นเป็นลำดับ ในที่สุด ถึงแม้ว่าดวงต่าง ๆ จะมีอานุภาพไม่มาก ยังไม่สมบูรณ์แบบ พระอาทิตย์ดวงเดิมนี้ก็จะร้อนขึ้นตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าโลกจะเย็นกว่านี้ไม่มี ย้อนขึ้นไปโลกจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน"
ก็รวมความว่า หนูน้อยจุไรก็มีโอกาสได้เทื่ยวดวงอาทิตย์ ก็ดูไปรอบ ๆ ก็อยากจะทราบตามความจริงว่า มีบ้านไหน มีคนไหน พอเดินไปรอบ ๆ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็บอกว่า "มีไม่ได้ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะมีที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด"
จุไรก็ถามว่า "ฝรั่งเขาว่ามีความสามารถ เขาสามารถจะมาปักหลังตั้งสถานีที่ดวงอาทิตย์ได้ไหม? ถ้าเขามาได้เขาสามารถจะใช้กระแสไฟจากดวงอาทิตย์ไปทำไฟฟ้าในโลกได้ไหม?"
สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตอบว่า "ถ้าฝรั่งสามารถจริง ก็สามารถมาได้ และสามารถนำไปได้ แต่ว่าคิดว่าฝรั่งไม่สามารถจะทำได้ในเวลานี้ ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งที่ป้องกันความร้อนขนาดหนักฝรั่งยังหาไม่ได้ ต่อไปถ้าเขาหาได้เมื่อไหร่เขาก็มาได้เมื่อนั้น การที่จะนำความร้อนจากดวงอาทิตย์ หรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไปช่วยโลกให้มีความสว่างอันนี้ทำได้แน่ถ้ามาได้ แต่ความจริงก็ไม่ต้องทำ พระอาทิตย์ช่วยอยู่แล้ว"
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ ตรัสว่า "จุไรลูกรัก และก็มารดาจุไร การมาเที่ยวที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว เพราะเวลานี้โลกมนุษย์ใกล้สว่าง เวลานี้เข้าเวลาตี 4 คือเสียงนาฬิกาเช้ามืด ให้นำลูกกลับ ก็เป็นการบังเอิญว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ โรงเรียนหยุดไม่เป็นไร แต่ถ้าดึกเกินไปเด็กจะเพลีย"
หลังจากนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จหายไป จุไรกับแม่ก็กลับมาบ้านนั่นเรื่องของนิทานนะบรรดาลูกหลานทั้งหลาย พอกลับมาบ้านก็เข้าร่างกายเดิมแล้วก็หลับ หลับแล้วก็ตื่นเวลาสายนิดหน่อยปรากฏว่าพอถึงเวลาสาย ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเรียก "จุไร ๆ" แต่เป็นเสียงผู้ชาย คือเสียงคุณพ่อ เสียงตะโกนถามขึ้นมาว่า "ทำไม แม่กับลูกวันนี้นอนตื่นสายนัก อาหารเช้ายังไม่ได้ทำ" ท่านแม่ลืมตาขึ้นมา จุไรลืมตาขึ้นมา ปรากฏเวลาใกล้โมงเช้าสายไป จึงรีบลุกเข้า ไปทำอาหารไว้รับประทานในเวลาเช้า
ก็เป็นอันว่าลูกหลานทั้งหลายที่ฟังจงมีความเข้าใจว่านิทานเรื่องจุไรนี่ไม่ ใช่ไร้ผลที่กล่าวถึงองค์สมเด็จพระทศพลคือพระพุทธเจ้า และก็จำภาพพระพุทธเจ้ามีความสำคัญ ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้าก็ดูพระพุทธรูป จำภาพพระพุทธรูปได้เราก็นึกถึงท่าน ขอพร ถ้าความเป็นทิพย์เกิดขึ้นเมื่อไหร่โลกไหนก็ไปได้ และเด็กหญิงจุไรที่บอกว่าอายุ 5 ปี ความจริงเด็กรุ่นนี้นิวรณ์ยังไม่กินใจ นิวรณ์คือความชั่วของจิต สิ่งที่มัวหมองยังไม่พอกใจ สามารถทำอะไรก็ทำได้สะดวก และก็พื้นฐานเดิมมีความสำคัญ
1. เคารพพระพุทธเา พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ
2. มีศีล 5 บริสุทธิ์
3. มีพรหมวิหาร 4
4. มีความกตัญญูกตเวที รู้คุณท่านแล้วก็
5. มีความเคารพ คารวะ คือ ความเคารพ เป็นความสำคัญที่สุด เป็นเสน่ห์ที่ดีสำหรับทุกคน ถ้าคนที่มีความเคารพ มีความกตัญญูรู้คุณ ความยากจนจะไม่ปรากฎ เพราะว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็รู้สึกว่าจะหมดเวลาแล้ว ฉะนั้นขอบรรดาลูกรัก เมื่อฟังเรื่องขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ พระพุทธเจ้าที่ต้องเอาเรื่องราวพระพุทธเจ้าเข้ามาด้วย เพราะว่าความเป็นทิพย์จะต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานทุกท่าน หรือทุกคน จงรู้และรับฟัง จงอย่าลืมพุทธานุสสติ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เวลานี้หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดีพิพัฒนมงคลสมลูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
จุไรท่องเที่ยวดวงอาทิตย์
ตอนที่ 2
โดย ส.ธ.
ลูกหลานทุกท่านโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๐ เป็นวันที่หลวงพ่อหลังจากป่วยมาแล้ว แต่วันนี้อาการดีขึ้นบ้างพอสมควร พอจะมีแรงบ้าง อาศัยที่มีความห่วงใยลูกรักทุกคน ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษา แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติความดี ในด้านพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนได้มโนยิทธิ ซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของอภิญญาสามารถรู้ความเป็นจริงตามพระพุทธศาสนาที่พระ พุทธเจ้าทรงสอนไว้ การตายแล้วมีสภาพไม่สูญ การเกิดเป็นคนแล้วตายจากความเป็นคน เป็นผี เป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพาน หรือว่า เป็นสัตว์นรกก็ตาม ก็ชื่อว่าเป็นการเกิด มีสภาพต่อไปมีสภาพไม่สูญ
และอีกประการหนึ่ง ลูกรักทุกคนมีความขยันหมั่นเพียร ในการงาน มีความดีพอที่บรรดาท่านทั้งหลายที่มีจิตเมตตาสงเคราะห์ ให้ทุนการศึกษาบ้าง แจกเสื้อผ้าบ้าง ให้อุปกรณ์การศึกษา มีหนังสือเรียนเป็นต้นบ้าง แล้วก็เลี้ยงดูให้ความเป็นสุขตามสมควร อาหารการบริโภคก็มีความอิ่มหนำสำราญ มีความสมบูรญ์ดี ทั้งนี้ก็อาศัยความดีของลูกรักทุกคน
ฉะนั้นขอลูกรักทุกคน จงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ตามธรรมดาเกลือจะอยู่กับส้มเกลือก็เค็ม อยู่กับยาดำขมจัดเกลือก็เค็ม อยู่กับน้ำตาลซึ่งมีรสหวานเกลือก็เค็ม ข้อนี้ฉันใดขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีไว้อย่าปล่อยความดีให้สลายตัว ผลของความดีที่ลูกรักปฏิบัติเห็นแล้วว่า ได้ความเมตตาปราณีจากบรรดาท่านพุทธบริษัท พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ผู้ใหญ่ทุกคน จนกระทั่งมีความสุขยิ่งกว่านักเรียนโรงเรียนอื่น
วันนี้หลวงพ่อจะนำนิทานมาเล่ากับลูกหลานฟัง เป็นวันต้น ความจริงร่างกายก็ไม่ดีนัก นิทานเรื่องนี้ถ้ากล่าวเป็นนิยาย ก็เป็นนิยายอิงพระพุทธศาสนา หรือว่าเป็นเรื่องจริงอิงนิทาน บางอย่างก็จริง บางอย่างก็เป็นนิทาน
เรื่องราวก็มีอยู่ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งมี อายุย่างขึ้นเพียง ๕ ขวบ เธอเป็นคนที่มีบิดามารดาเป็นคนดี บิดามารดาเคารพพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระอริยสงฆ์ แล้วก็ทรงศีล ๕ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดีครบถ้วน นอกจากนั้นก็มีจิตหวังพระนิพพานเป็นที่ไป เรื่องพระนิพพานนี่บรรดาลูกรักทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าเป็นเรื่องปรำปรา เป็นของมีจริง ในฐานะที่ลูกชายและลูกหญิง เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าสอนความจริง และลูกรักทุกคนก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงมาแล้ว ฉะนั้นขอลูกรักทุกคนจงรักษาความดีที่ตนมีไว้ นั่นก็คือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้แก่ “มโนยิทธิ”
ต่อนี้ไปก็จะขอนำเรื่องราวต่างๆของนิทานมาเล่าสู่กันฟัง เด็กหญิงตัวน้อยๆคนนั้นชื่อว่า “จุไร” เธอปฏิบัติความดีตามบิดามารดาสอน
อันดันแรกมีความกตัญญูรู้คุณ บุคคลใดที่มีคุณแก่เธอๆ ไม่เคยลืม ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้มีคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิดามารดา เธอมีความเคารพมาก
วันหนึ่งเธอนั่งคุยกับมารดาก็มีความรู้สึกว่า มารดานี่สามารถพาไปโลกไหนก็ได้โลกนี้มีอะไรอยู่ที่ไหนมารดาก็สามารถจะบอกได้ แต่ทว่าเธอยังทำไม่ได้จึงได้ถามมารดาหรือคุณแม่ว่า ปฏิบัติอย่างไรแม่จึงมีใจเป็นทิพย์สามารถเห็นผีก็ได้ เห็นเทวดาก็ได้ ไปภพต่างๆได้ แม่ก็แนะนำให้ลูกสาวที่รัก ลูกสาวคนดีของเธอ มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เด็กหญิงจุไรซึ่งมีอายุ ๕ ขวบ ก็ตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในการเคารพผู้มีพระคุณมีอยู่แล้ว แม่ก็ยืนยันว่าจริง
ข้อที่ ๒ ให้ความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก่อนจะหลับไหว้พระสวดมนต์ตามกำลัง แล้วภาวนาว่า “พุทโธ” จุไรก็ทำแล้ว
ประการที่ ๓ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น เธอก็ทำแล้ว
ประการที่ ๔ ให้จิตว่างจากนิวรณ์ ๕ ประการ ในขณะที่บูชาพระพุทธเจ้าคือ
๑. ไม่ติดในความสวยของโลก
๒. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๓. ทำสมาธิบูชาพระแต่หัวค่ำอย่าให้ง่วง
๔. ตั้งใจตรงนึกถึงพระพุทธเจ้าตรง นึกถึงพระพุทธรูปตรง พระพุทธเจ้าก็ได้ พระพุทธรูปก็ได้ จับภาพพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปให้มั่นคง ให้ทรงอยู่ในจิตเธอก็ทำได้
๕. ไม่สงสัยในความรู้สึกที่เกิดขึ้นเธอก็ทำได้
เมื่อเธอทำได้แล้วแม่ก็แนะนำว่า ต่อนี้ไปตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง จะเป็นพระพุทธรูปนั่งก็ได้ นอนก็ได้ ที่ชอบใจเธอก็นึกถึงภาพพระที่เธอบูชา แม่ถามว่าเวลานี้จำภาพพระได้ไหม เธอก็บอกว่าจำได้แม่นยำชัดเจนมาก เอาจิตนึกเห็น หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ภาวนาว่า “พุทโธ” บ้าง บางครั้งก็ “นะ มะ พะ ธะ” บางครั้งก็ “นะโมพุทธายะ” ตามใจชอบ ต่อมาเมื่อจุไรเด็กเล็กอายุ ๕ ปี อยากจะไปชมโลกต่างๆ โดยเฉพาะดวงอาทิตย์ที่เธอเห็นทุกวัน ก็อยากจะทราบว่าดวงอาทิตย์จริงๆอยู่ไกลจากโลกเท่าไร แล้วก็เป็นไฟดวงใหญ่จริงอย่างเขาว่าหรือไม่ ตามประสาของเด็กก็หันมาถามแม่ว่า “อยากจะไปเที่ยวดวงอาทิตย์” แม่ก็ตอบว่า “ไม่เกินวิสัยของแม่ที่จะแนะนำลูกได้ แต่ว่าลูกต้องปฏิบัติตามแม่สั่ง” เธอก็ยอมรับหลังจากนั้นแม่ให้บูชาพระเสร็จ เอาจิตใจจับให้เห็นภาพพระพุทธรูปที่สามารถจะจำได้ เธอก็บอกแม่ว่า “ชัดเจนแจ่มใสเจ้าค่ะ เพราะลูกบูชาทุกวัน” หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำว่าจงตามแม่มา เวลานั้นแม่ก็ใช้กำลังความเป็นทิพย์ เอาจิตออกจากร่างเดิมที่เรียกว่า “อทิสมานกาย” จุไรก็ทำได้เพราะเด็กไม่มีนิวรณ์ พอออกจากร่างกายแล้วก็มีร่างกายสวยสดงดงาม มีชฎามีเครื่องประดับแบบนางฟ้า ร่างกายก็เป็นแก้ว เห็นแม่เป็นแก้วมีความสว่างไสวมาก
หลังจากนั้นแม่ก็แนะนำให้ตามพระพุทธรูปไป เวลานั้นพระพุทธรูปที่เธอนึกถึงกลายเป็นพระสงฆ์ มีความสวยงามมาก มีรัศมีกายสว่างมาก เห็นภาพพระนำเธอไป ในที่สุดก็ไปพักอยู่ที่ “พระจุฬามณีเจดียสถาน” ในเขตสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พระจุฬามณีสวยสดงดงามมาก ใสประกายเป็นเพชรเหมือนกันหมด เข้าไปไหว้องค์กลางที่ใหญ่ที่สุดก็คือ “พระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าองค์นี้ (ถ้าหากใครเขาบอกว่าเป็น “พระพุทธนิมิตร” ก็จงอย่าเถียงเขา)
เมื่อจุไรมนัสการ แม่มนัสการพระแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า “อยากจะไปชมดวงอาทิตย์” ท่านก็ตรัสว่า “เธอปฏิบัติอย่างนี้ไม่เกินวิสัยที่จะพึงพาไปได้” หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร (อันนี้เป็นนิทานนะ อย่าลืมว่าเป็นนิทาน) ก็นำจุไรกับแม่มายืนที่หน้าพระจุฬามณี สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า พระอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์ที่ต้องการจะไปนั้นอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์อยู่ใน จักรวาลเดียวกัน ที่ทั้งสองคนมาที่นี่นั้น ไกลเกินไปหลายแสนเท่า ถ้านับจากโลกมนุษย์ไปหาดวงอาทิตย์ แล้วก็นับจากโลกมนุษย์มาหาพระจุฬามณี คือ “ดาวดึงส์” ไกลกว่าโลกมนุษย์ ไปโลกอาทิตย์หลายแสนเท่า
แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้ดูโลกอาทิตย์ว่า ก่อนที่จะไปดวงอาทิตย์ดูสียก่อน ดูที่นี่จะเห็นชัดว่าสภาพของดวงอาทิตย์จริงๆ ที่โลกอาทิตย์จริงๆ นั้นไม่มีไฟ มันมีสภาพเป็นแร่ธาตุทั้งลูก สำหรับสิ่งที่เป็นไฟ ไฟอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก แต่ไฟจะเกิดขึ้นได้เพราะไอระเหยจากดวงอาทิตย์มีสิ่งระเหยออกมาแล้วพุ่งออกมา ไกลแสนไกล สัมผัสกับอากาศกลายเป็นไฟดวงใหญ่ขึ้นมา มีความร้อนสูงมาก
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงให้ดูการหมุนของโลกอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ที่หมุนเหมือนลูกข่างๆ ที่เราปั่นไป มันจะมีเหล็กปักกับพื้น แล้วก็หมุนข้างรอบๆ ข้อนี้ฉันใด ดวงอาทิตย์ก็มีสภาพหมุนอย่างนั้น เรามองไปดูที่โลกมนุษย์โลกที่เราอาศัยอยู่นี่ มองจากจุฬามณีจะเห็นโลกนี่เล็กนิดเดียว ลอยวนขึ้นด้านเหนือของดวงอาทิตย์ ขึ้นทางด้านหัววนไปวนมา ขึ้นหัวลงข้างล่างวนไปวนมาแบบนั้น (นึกภาพเอาแล้วกัน)
จุไรเห็นก็นึกแปลกใจว่าโลกมนุษย์มันเล็กนิดเดียว แต่โลกพระอาทิตย์นี่ใหญ่มาก โลกมนุษย์ลอยอยู่ห่างดวงไฟมาก ไฟที่เกิดจากความเร่าร้อน กับ โลกมนุษย์ มันต่ำกว่าความร้อนที่ดวงไฟใกล้ดวงอาทิตย์หลายสิบล้านเท่า หรือหลายร้อยล้านเท่า เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็นำทั้งสองคนไปใกล้ดวงอาทิตย์ เมื่อเข้าไปใกล้แล้วก็ชี้ให้ดูว่า โลกอาทิตย์นี้ความจริงมันเป็นแร่ธาตุทั้งหมด มีความแข๊งตัวมาก แล้วก็หมุนรอบตัวเองช้าๆ ในโลกอาทิตย์ทั้งหมดหาดินแท้ๆไม่ได้เลย เป็นแร่ทั้ง
หมดแต่แร่อะไรบ้าง อันนี้ก็ไม่ต้องพิสูจน์กัน
เป็นอันว่าไปดูดวงอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นแสงไฟที่ดวงอาทิตย์ แต่ว่ากระแสหรือไอระเหยเกิดเป็นแสงไฟภายนอกเป็นไฟดวงใหญ่ นี่เรียกว่า “รู้จักโลกอาทิตย์” แต่ความจริงเรื่องของนิทานนี่ลูกรักทั้งหลาย จะให้ตรงกับนักวิทยาศาสตร์เสมอไปไม่ได้ เพราะว่านิทานก็ต้องเป็นนิทาน บางอย่างของนิทานก็เป็นความจริง บางอย่างก็เป็นเรื่องคิดขึ้นมา
ฉะนั้นท่านผู้ฟังก็ดีผู้อ่านก็ดี ก็จงคิดว่าเรื่องที่เล่านี่เป็นนิทาน จุไรจึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า “ความร้อนของแสงอาทิตย์หรือว่าไฟที่ล้อมดวงอาทิตย์อยู่นี่ มีความร้อนขนาดไหน” องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่า “ประมาณไม่ได้ จะเปรียบเทียบไม่ได้มันร้อนจัด” เธอก็ถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า “ถ้าหากว่าคนจะเข้ามาในเขตนี้จะเข้ามาได้ไหม” พระท่านก็บอกว่า “เข้ามาก็ตาย เพราะร้อนกว่าไฟในโลกมนุษย์มาก” เธอก็ถามว่า “ถ้าคนจะทำยานพาหนะอย่างใดอย่างหนึ่งผ่านกระแสไฟเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์จะเข้า มาได้ไหม” (ขอใช้คำว่า “พระ” อย่างเดียวก็แล้วกันนะ) พระท่านก็ตอบว่า “วัตถุที่สามารถจะเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ได้ จะต้องสามารถทนความร้อนได้หลายร้อยล้านเท่าหลายล้านองศา”
สมมุติว่าทนความร้อนได้ ๒ ล้านองศา อย่างนี้วัตถุจะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในวัตถุนั้นจะสลายตัวหมดถ้าคนก็ตายวัตถุวิทยาศาสตร์ก็เสีย หมด ผิวของวัตถุหรือตัววัตถุหรือจรวดก็ตาม จะเข้าถึงดวงอาทิตย์ได้ หรือว่าผ่านไฟเข้าไปในดวงอาทิตย์ได้ นี่เป็นเรื่องของ “โลกพระอาทิตย์” จงมีความเข้าใจว่าพระอาทิตย์จริงๆ ไม่ไช่มีไฟก่อตั้งขึ้น พระอาทิตย์คือล้อมรอบๆเป็นไฟทั้งหมดไม่ไช่อย่างนั้น ไฟอยู่ไกลจากโลกอาทิตย์นี่เข้ามาเล่าซ้ำน่ะ เพราะคาสเซทก่อนเล่าไว้เหมือนกัน แต่ว่าฟังไม่ถนัด
หลังจากนั้นจุไรก็มีความสงสัยกราบเรียนถามพระว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีอะไรบ้าง” พระท่านก็ตอบว่า “ภายในดวงอาทิตย์มีแร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก แต่ทว่าแร่ธาตุทั้งหมดก็มีการเผาตัวเอง มันมีแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีสภาพคล้าย “แมงกานีส” เป็นเชื้อไฟแตไม่ไช่แมงกานีสโดยตรงคล้ายกันเป็นเชื้อไฟก่อตัวให้เป็นไฟ ขึ้นแล้วก็เผาผลาญตัวเอง
หลังจากนั้นพระท่านก็นำทั้งสองคนเข้าไปในโลกพระอาทิตย์ ถ้าจะถามว่าต้องขุดไหม ก็ต้องตอบว่ากายไปเป็นกายทิพย์ ที่เราเรียกว่า “อทิสมานกาย” ไม่ได้เอาเนื้อไปด้วย เหมือนกับบรรดาลูกหลานทุกคนที่ฝึกมโนยิทธิการจะไปไหนใช้กายทิพย์ไป แล้วเวลาที่ฟังอยู่นี่จะตามเสียงไปก็ได้ เสียงไปถึงไหนปล่อยจิตหรือว่ากายทิพย์ไปถึงนั่น ก็จะรู้ความจริง เข้าไปภายในแล้ว ก็พบแร่ธาตุมาก แต่ไปพบเชื้อเพลิงอันร้อนระอุอยู่ตลอดเวลา เป็นไฟแต่ไฟมาได้แลบออกมาข้างนอก มันเผาผลาญตัวเอง มีความร้อนมาก
พระท่านก็แนะนำ ๒ คน คือ “จุไรกับแม่” ว่าการเผาผลาญของไฟอันนี้มันก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่ามันเผาผลาญแทนที่จะสลายตัว เผาร้อนมากเพียงใดสลายตัวมากเพียงไหนก็ตาม มันก็จะสร้างตัวมันเองอยู่เสมอ แล้วความเร่าร้อนของดวงอาทิตย์ ไฟในดวงอาทิตย์จะลุกหนักขึ้นมาทุกทีกระแสความร้อนจะเผาผลาญโลก
รวมความว่าความร้อนของดวงอาทิตย์ มีความร้อนต่ำกว่านี้ไม่มี มีแต่ทวีสูงขึ้น จุไรกราบทูล ถามพระว่า “ดวงอาทิตย์นี่ใครสร้าง” พระท่านก็บอกว่า “อย่าไปถามเลยเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนสร้าง มันเกิดของมันเองตามสภาพของมัน จะถือว่ามีชีวิตจิตใจก็ม่ไช่ ถ้าถามถึงคนสร้างไม่มีใครสร้างแน่” แล้วเธอก็ถามพระว่า “ตามที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า กัปแห่งโลกมนุษย์เมื่อใกล้จะหมดกัป จะมีไฟบรรลัยกัลป์เกิดขึ้นต่อไป จะมีพระอาทิตย์ขึ้นเป็นดวงที่สอง แล้วก็ดวงที่สาม แล้วก็ดวงที่สี่ ดวงที่ห้า ดวงที่หก แล้วก็ดวงที่เจ็ด ตอนนั้นไฟจะลุกท่วมโลก จะไหมโลกทั้งหมด เป็นความจริงไหม”
พระก็ตอบเธอว่า “เป็นความจริง” แล้วเธอก็ถามว่า “อาทิตย์ดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๗ เวลานี้อยู่ที่ไหน” พระท่านก็ตอบว่า “เริ่มก่อตั้งแล้ว แต่ความสมบูรณ์แบบยังไม่มี มันค่อยๆก่อตัวขึ้น ดวงที่ ๒ จะเต็มดวงก่อน ความร้อนจะเริ่มเผาผลาญโลกมนุษย์ต่อไป ต่อไปก็ดวงที่ ๓ ดวงที่ ๔ ดวงที่ ๕ ดวงที่ ๖ ดวงที่ ๗ เพียงแต่ ๒ ดวงก็ปรากฏว่าน้ำในมหาสมุทรแห้งหมดแล้ว สัตว์ก็ตายหมด เมื่อความร้อนปรากฏทุกดวงอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายที่แห้งจะกลายเป็นไฟลุกท่วมโลก
รวมความว่าโลกมนุษย์ต้องสลายตัว คือคนก็ตายหมด น้ำแห้งหมดสัตว์ก็ตายหมด ต้นไม้ก็ไหม้หมดเป็นโลกที่กลายเป็นดินถูกเผาผลาญ คือดินถูกเผาจะมีความหอมระอุขึ้นมา ตอนนั้นก็ถือว่าสิ้นกัป หลังจากนั้นไปจุไรก็กราบทูลพระว่า “เมื่อสิ้นกัปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” พระท่านก็บอกว่า “นั่นมันเรื่องที่หลัง” แล้วผู้ที่จะมาเกิดในกัปนี้ ชุดแรกเป็นพรหม พรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีในการเป็นพรหม คือว่าหลังจากที่ไฟไหม้หมดแล้วไฟดับฝนก็ตก ทำน้ำในมหาสมุทรให้เต็ม น้ำในคลองบึงหนองเต็มหมด ดินก็ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารบางอย่างเริ่มเกิดขึ้น
ตอนนั้นพรหมที่หมดบุญวาสนาบารมีหาพ่อแม่เกิดไม่ได้ ก็อยากจะกินง้วนดิน ลงมากินง้วนดินเพราะดินหอมจากไฟเผา ร่างกายก็เลยหนักมีเนื้อมีหนังขึ้นมา ในระหว่างตอนแรกพรหมพวกนี้ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีความเป็นผู้หญิง ยังไม่มีความเป็นผู้ชาย พระอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏในเวลานั้น ไม่ทราบพระอาทิตย์หายไปไหน
จุไรก็ถามว่า “พระอาทิตย์ตั้ง ๗ ดวงหายไปไหน” ท่านก็บอกว่า “ ๖ ดวงสลาย ตัวดวงเดิมที่ปรากฏก็จะอยู่ห่างมาก ยังลอยเข้ามาไม่ใกล้กัน ดวงเดิมนี่ทรงตัวไม่ได้สลายตัวไปด้วย ดวงที่สลายตัวก็ไม่ได้แตก เพียงแต่ว่าความร้อนกระแสไฟภายในดับมีความเยือกเย็นตามเดิมแต่ว่าดวงเก่านี่ ก็มีกระแสไฟอ่อนลง มีความร้อนแต่น้อยลง ฉะนั้นยังไม่เผาผลาญโลกให้บรรลัย ไม่เหมือนเก่า”
หลังจากนั้นบรรดาพรหมทั้งหมด ที่มาเกิดเป็นคน มากินง้วนดินก็กลายเป้นคนมีเนื้อมีหนังขึ้นมา อาศัยที่บุญบารมียังมีอยู่ยังไม่มีเพศ ยังไม่มีการเสพกาม ตัณหาอุปทาน ยังไม่ปรากฏ แสงสว่างจากตัวก็ยังมี ไปที่ไหนก็มีแต่แสงสว่าง เหมือนกับมีพระอาทิตย์ตอนฟ้าสางตอนเช้า แล้วก็สว่างมาก แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ไม่มีความร้อน มีความสุขเพราะอาศัยบุญยังมีมาก อาหารการบริโภคที่ปรากฏก็เป็นอาหารสำเร็จรูป
รวมความว่ากินง้วนดินกันมาเรื่อยๆ ต่อไปง้วนดินความสุขค่อยๆสลายตัว พืชก็เกิดขึ้นที่เป็นอาหาร ข้าว เกิดขึ้นข้าวก็เป็นเม็ดข้าวสาร เพราะบุญ เก็บข้าวมาแล้วก็มาหุงมาต้มได้ทันทีทันใด กับที่จะพึงกินก็ไม่ต้องหา นึกอยากจะกินอะไรอย่างนั้นก็เกิดเพราะบุญเก่า รวมความว่าหลังจากนั้นมาโลกก็มีความเยือกเย็น ต่อมาภายหลังความเป็นเพศปรากฏขึ้น คือมีเพศหญิงเพศชาย ก็อยากจะมีสามีภรรยามีผัวมีเมียอารมณ์อย่างนี้ เกิดขึ้น แสงสว่างในกายก็ดับ เมื่อแสงสว่างในกายดับ โลกก็ดับแสงสว่างในโลกก็ดับเกิดความมืด
บรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้นก็ตกใจว่ามืดเสียแล้ว ต่อจากนั้นไปแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ ความสว่างปรากฏขึ้นเธอก็ดีใจ แต่พระอาทิตย์เกิดขึ้นไม่นานตอนเย็นก็ลับหายไป พวกเขาก็ตกใจว่าโลกจะมืด ต่อนั้นมาพระจันทร์ก็ปรากฏ เป็นแสงอ่อนๆนวลมีความเย็นสว่างเธอก็ดีใจ พระจันทร์เดิมทีเดียวเขาเรียกว่า “ฉันทะ” แปลว่า “ดีใจ พอใจ” แต่ตอนหลังเรียกเพี้ยนกันมาว่า เป็น จันทระ
ก็รวมความว่าเรื่องราวของพระอาทิตย์ก็ดี ความเป็นมาของพระจันทร์ก็ดี เล่าโดยย่อเพียงเท่านี้ ขอบรรดาลูกหลานทั้งหมด อย่าลืมว่า นี่เป็นนิทาน หลังจากนั้นพระก็เตือนจุไรกับแม่ ๒ คนกลับบ้านได้ เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว ก่อนที่เธอจะลากลับ พระก็แนะนำว่า ทั้งแม่ก็ดีลูกก็ดีให้ทรงความดีไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม
อันดับแรก หนึ่งมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ ใครเขาสงเคราะห์เคารพคนนั้น ปฏิบัติตามคนนั้น ตามคำแนะนำของเขา ทุกคนจะมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งหมด ไปไหนไม่อดตาย ไปทางไหนก็มีคนรัก จะพบแต่ความยิ้มแย่มแจ่มใส
ปราการที่ ๒ ให้เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติครั้งแรกก็คือ “กรรมบถ ๑๐”
๑. มีเมตตาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์หรือคน
๒. ไม่ลักไม่ขโมยของใคร
๓. ไม่แย่งความรักของคนอื่น (นี่ทางกาย)
ทางวาจามี ๔ คือ
ไม่พูดปด ไม่พูดคำไม่จริง
ไม่พูดวาจาหยาบคาย
ไม่ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์
ทางด้านจิตใจ
ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม แล้วไม่คิดประทุษร้ายใคร สร้างความเห็นถูกตามคำแนะนำของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วเวลาที่ต้องการจะให้จิตเป็นทิพย์ต้องการจะไปไหน โลกอื่นก็ตามให้พยายามระงับอารมณ์ชั่ว ๕ ประการ
๑. ความสวยสดงดงามของโลกถือว่ามันไม่ใช่ของจริง
๒. อารมณ์ไม่พอใจโกรธคนอื่น
๓. ความง่วง
๔. อารมณ์ฟุ้งเกินไป จับภาพพระให้มั่นคงให้แจ่มใส
๕. ไม่สงสัยอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เพียงเท่านี้ ถ้าเธอทั้งสองคนปฏิบัติได้อย่างนี้เป็นปกติ เธอสามารถจะไปไหนก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจจะไปไหนได้ก็นึกถึงฉัน ฉันจะช่วยทันที
เอาล่ะลูกหลานที่รักฟังเรื่องนี้แล้ว ขอทุกคนจงจำไว้ว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำ ลูกทุกคนปฏิบัติได้แล้ว จงปฏิบัติให้ครบถ้วนตลอดกาล อย่าทิ้งความดีนี้ ต่อไปลูกรักทุกคนจะศึกษาอะไรก็ตาม จะสำเร็จผลทุกประการ
เวลานี้รู้สึกว่าครบเวลา ๓๐ นาที เรื่องพระอาทิตย์นี้เคยเล่ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ามาเล่าย้อนหลังเพื่อเป็นการให้ติดต่อกัน ระหว่างคาสเซท ต่อไปนี้หลวงพ่อก็ขอพักประเดี๋ยวนะ ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องพระจันทร์ต่อไป พักดื่มน้ำกันสักหน่อย เพราะเวลา ๓๐ นาทีพอดีหยุดไว้เพียงเท่านี้ สวัสดี.
จุไรท่องเที่ยวดวงจันทร์
ลูก หลานที่รักพักจากการดื่มน้ำ พักผ่อนนิดหน่อย ความจริงที่เล่าเมื่อตอนต้นมันเหนื่อยมาก ร่างกายยังไม่ดี รู้สึกว่าเสียงแห้งๆ แล้วก็เหนื่อยจัด ตอนนี้ก็มาคุยกันใหม่ มาคุยกันถึงเรื่องจุไรเด็กอายุ ๕ ปี ไปเที่ยวดวงจันทร์ ตอนนี้ก็จะไม่ขอพูดถึงว่าไปกับใคร เอาไปคนเดียวก็แล้วกันเรื่องจะได้ไม่ยุ่ง
เมื่อจุไรกลับจากโรงเรียน มาถึงบ้านกราบมารดาแล้ว อันดับแรกรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ไปช่วยพรวนดิน รดน้ำต้นไม้ต้นผักที่ปลูกไว้ ถึงแม้จะเป็นเด็กเล็ก ก็มีความกตัญญูรู้คุณ รู้จักความเป็นอยู่ของตนว่า ตนไม่ใช่ลูกหลานของคนร่ำรวย แม้แต่คนข้างบ้านเขารวย เขายังทำมาหากินเขายังไม่หยุด ฉะนั้นบ้านของจุไรจนกว่าเขา พ่อกับแม่มีความลำบากในการประกอบอาชีพ ต้องส่งให้ลูกเรียน ถึงแม้แต่ลูกตัวเล็กๆก็รู้สึกมีความรับผิดชอบพยายามรดต้นไม้ตามที่จะทำได้ รดผักรดหญ้าพรวนดินตามกำลัง หลังจากนั้นเสร็จก็บูชาพระ จิตก็มีความรู้สึกว่าคุณแม่บอกว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้จุไรช่วยตนเอง ถ้าอยากจะไปเที่ยวที่ไหน ให้ปฏิบัติที่เคยสั่งไว้ ถ้าขืนให้แม่แนะนำอยู่เสมอ จุไรก็ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ถ้าอะไรเกินวิสัยก็ขอให้บอกแม่ แม่จะช่วย
เธอก็พยายามช่วยตัวเอง ทำการบ้านเสร็จ ตอนนี้มันเหนื่อยจากกลางวันมาก เพราะการเรียนหนังสือ แล้วก็ทำการงานก็นอน นอนก็เริ่มภาวนาว่า “พุธโธ” แล้วต่อไปพอพุธโธสบายใจ จิตใจนึกถึงพระพุทธรูป เมื่อเห็นพระพุทธรูปก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ปรากฏ จิตมีความรู้สึกทางใจว่าพระพุทธเจ้าลอยอยู่ใกล้ๆ
หลังจากนั้นไป จุไรก็กราบทูลพระพุทธเจ้า คิดด้วยจิตว่า วันนี้อยากจะไปเที่ยวชมดวงจันทร์ ก็เห็นพระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษบ์ อย่าลืมนะว่า ลูกหลานที่รัก พระพุทธเจ้าที่เห็นอาจจะเป็น “พุทธนิมิตร” ถ้าใครเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์เดียวจะไปช่วยคนทุกคนได้อย่างไร เป็นอุปทานพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว
ลูกรักทุกคนก็จงจำคำนี้ไว้ว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรเมื่อวันจะนิพพาน พระอานนท์มีความเสียใจว่า ท่านเองก็เป็นพระโสดาบัน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานเวลานี้ ต่อไปก็ไม่มีครูสอน องค์สมเด็จพระชินสี จึงได้ตรัสว่า
“อานันทะ ดูก่อนอานนท์เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่ตรัสไว้จะเป็นครูสอนเธอ” โดยเฉพาะความจริงคำว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยเท่านั้น พระพุทธเจ้าคือ “กายทิพย์” หรือที่เรียกว่า “อทิสมานกาย"
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อทิสมานกายที่มีความสะอาด ตัดกิเลสได้ผ่องใสเป็นกายทิพย์ ความเป็นทิพย์ลูกหลานทุกคนไม่มีการสลายตัว การจะเห็นพระพุทธเจ้าถือว่าเห็นความดีของท่าน ถ้าถามว่าทำไมเห็นตัวก็ต้องขอตอบว่า ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เวลานั้น ถ้าใครนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู หรือว่าตั้งใจปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลอยู่ไกลแสนไกล ก็เปล่งฉัพพรรณรังสี คือรัศมีของพระองค์ ให้ไปถึงหน้าคนนั้น ก็ปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมของพระองค์ นั่งข้างหน้า แล้วก็เทศน์สอนเหมือนกับพระองค์นั่งอยู่ที่นั้นเอง
ก็รวมความว่า คนนั้นก็ฟังเทศน์จากพระองค์เองก็แล้วกัน อันนี้เหมือนกับลูกหลานทุกคนที่กำลังฟังอยู่ว่า เห็นภาพพระพุทธเจ้าของจุไร ก็ถือว่าเห็นฉัพพรรณรังสีก็เหมือนเห็นพระองค์นั่นเอง จะพูดอะไรกันก็ได้ จะสอนอะไรก็ได้ จะนำใครไปไหนก็ได้เหมือนพระองค์นำไปเอง ฉะนั้นแม่จึงได้สอนจุไรว่า ถ้าเห็นภาพให้นึกว่า นั่นคือพระพุทธเจ้าตรงไม่มีอะไรผิด
นี่คำว่า พระพุทธเจ้าจริงๆไม่ใช่เนื้อไม่ใช่หนัง พระพุทธเจ้าคลอดจากครรภ์มารดา ก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นี่ความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ ต่อเมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็รวมความว่า คำว่า “พระพุทธเจ้า” คือความดีที่พระองค์ทรงบรรลุแล้ว ถ้าพวกเราเข้าถึงความดีของพระองค์เมื่อไร พระพุทธเจ้าก็อยู่กับเราเมื่อนั้น จะเห็นภาพได้ทันที
รวมความว่า จุไรเมื่อเห็นภาพพระพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทราบว่า ต้องการจะชมโลกพระจันทร์ ภาพพระพุทธเจ้าก็นำจุไรไปยืนห่างโลกพระจันทร์ แล้วก็ทรงชี้ให้ดูโลกพระจันทร์ห่างจากโลกมนุษย์มาก แต่ว่าจุไรเคยไปจุฬามณี การไปจุฬามณีไปปั๊บเดียวก็ถึง มันไกลกว่าจากโลกพระจันทร์หลายแสนเท่า
เมื่อเข้าไปถึงโลกพระจันทร์จริงๆ ตอนที่อยู่ห่างเห็นพระจันทร์สว่างจ้า มีแสงออกจากโลกพระจันทร์ เป็นแสงสว่าง แต่เข้าไปใกล้จริงๆพระจันทร์ไม่ได้มีแสง พระจันทร์กลายเป็นหินกลายเป็นดิน แตเป็นหินมากกว่าดิน พระจันทร์ไม่มีแสงสว่าง ไม่เกลี้ยงเกลาอย่างที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆสมัยโบราณท่านผู้ใหญ่มักจะบอกว่า ภาพเงาที่ปรากฏบนดวงจันทร์ ที่เรามองเห็นพระจันทร์เต็มดวงเวลากลางเดือน จะมีเงาๆหนึ่ง ปะอยู่ที่พระจันทร์เล็กน้อย ผู้ใหญ่บอกว่านั่นกระต่ายที่นั่งชมจันทร์
ฉะนั้นจุไรเป็นเด็กฟังที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ที่ว่ากระต่ายนั่งชมจันทร์ เวลาพระจันทร์วันเพ็ญ เธอก็อยากจะมองเห็นกระต่าย มองไปมองมาก็ไม่เห็นกระต่ายสักตัว โลกพระจันทร์เต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไปถึงโลกพระจันทร์จริงๆความสว่างขาวนวลสวยสดงดงามก็ไม่มี หน้าพระจันทร์เท่าที่เห็นไม่ใช่นวล เต็มไปด้วยความขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง เป็นหินเป็นทรายบ้าง มองดูแล้วโลกพระจันทร์เหมือนกับหน้าคนที่เป็นสิว หรือเป็นฝีดาษไม่เรียบร้อยตามที่เห็นเธอก็แปลกใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า ภาพพระองค์ก็ปรากฏ อย่าลืมว่านี่นิทานและภาพที่ปรากฏก็เป็นพุทธนิมิตร จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามาเองก็ได้ ตามใจชอบไม่ได้ขัดคอใคร หรือใครผู้ฟังที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่เห็นชอบด้วย คำว่า “มิจฉาทิฐิ” คือเห็นไม่เหมือนกัน จะหาว่าเป็นภาพหลอนก็ตามใจอย่าลืมว่านี่คือนิทาน
เธอก็ถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าโลกพระจันทร์ทำไมเป็นอย่างนี้ เวลาที่มองจากโลกมนุษย์ เห็นพระจันทร์มีแสงสว่างขาวนวล แล้วก็มีภาพกระต่าย แล้วพระจันทร์ก็ไม่สวยตามนั้น สมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า “พระจันทร์ไม่ได้มีแสงสว่างตามที่เห้น แต่ที่เห็นพระจันทร์มีแสงสว่างนวลปรากฏ ก็เพราะว่า พระจันทร์ต้องแสงพระอาทิตย์ พระอาทิตย์สาดถึงแสงสะท้อนที่แสงพระอาทิตย์สาดถึง กลายเป็นแสงนวลออกจากพระจันทร์เหมือนกับกระจกถ้าตั้งอยู่เฉยๆก็ไม่มีแสง สว่าง ถ้าเราเอาไฟฉาย ฉายเข้าไปหากระจกหรือตั้งกระจก หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ แสงสะท้อนจะสว่างออกมาก คือดูกระจกจริงๆจะไม่มีแสงสว่าง แต่อาศัยแสงสะท้อนจากความสว่าง ของดวงอาทิตย์หรือไฟฉาย ทำให้กระจกเป็นขึ้นสว่างมาก ข้อนี้ฉันใด พระจันทร์จริงๆก็ไม่มีแสง”
จุไรฟังพระพุทธเจ้าตรัสก็ทึ่งและเห็นเป็นจริง แล้วเธอก็ถามว่าในเมื่อพระจันทร์มีสภาพอย่างนี้แล้ว พระจันทร์ก็ไม่ใช่ดวงเล็กๆเป็นโลกใหญ่ เธอไม่ทราบว่าพระจันทร์ กับโลกมนุษย์ใครจะใหญ่กว่ากัน สมเด็จพระภควันต์ก็ตรัสว่า “โลกพระจันทร์เล็กกว่าโลกมนุษย์มาก” แล้วเธอก็ถามว่า “โลกพระจันทร์จะมีคนอยู่ไหม” สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “คนก็ดี สัตว์ก็ดี อยู่ไม่ได้ แม้แต่ต้นไม้ก็ไม่มีในโลกพระจันทร์”
แล้วเธอก็ถามว่า “โลกพระจันทร์มีทะเลไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “ในขณะที่เรายืนอยู่นี่ไม่มี แต่ความชุ่มชื้นในโลกพระจันทร์ย่อมมี ถ้าไม่มีหินแร่ธาตุต่างๆจะเกาะกุมตัวกันไม่ได้ถ้าขาดความชุ่มชื้น อย่างโลกพระอาทิตย์จะ เต็มไปด้วยแสงไฟความร้อน แต่ความร้อนกสามารถทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หลอมตัวเข้าเกาะกันได้คล้ายกับเป็นน้ำ พระจันทร์ก็เช่นเดียวกันมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง ถ้าจะมีน้ำขังเจิ่งเหมือนโลกมนุษย์ต้องดูกันก่อน ถ้าบอกก็บอกได้ แต่เพื่อคลายความสงสัยต้องดูกันก่อนเดินไปดูกัน”
ก็ปรากฏภาพพระเดินหน้า จุไรเดินตามหลัง เธอเดินไปก็มีความสงสัยบางจุดก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางจุดก็ราบเรียบ ผิวพื้นดินหรือแร่หินก็ไม่เหมือนกัน บางจุดก็เป็นสีเทา บางจุดก็เป็นผิวสีเหลือง บางจุดก็เป็นผิวสีขาว บางจุดดินเป็นประกายคล้ายกับเพชร เธอจึงถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมโลกพระจันทร์จึงเป็นอย่างนี้ ท่านก็บอกว่า เป็นธรรมดาของโลกแร่ธาตุต่างๆย่อมมี
เมื่อ เดินไปทีแรกขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย ฟังแล้วเข้าใจว่า ไปถึงจุดแรกไปตอนกลางของพระจันทร์ เหมือนกับประเทศไทยเราอยู่ภาคกลาง หันหน้าเข้าหาพระจันทร์ ทางซ้ายเป็นภาคเหนือ ทางขวาเป็นภาคใต้ แล้วพระก็นำจุไรเดินไปทางภาคใต้ พอไปหน่อยหนึ่งก็พบสีดินเป็นทอง ปรากฏว่าทองอยู่ผิวดินส่วนใดที่ไม่มีฝุ่นมัวส่วนนั้นเห็นทองชัด เอามือจับหยิบขึ้นมาก็รู้สึกว่า เป็นทองคำธรรมชาติ เป็นเม็ดทรายเกลื่อนกลาดบริเวณกว้างมาก
ต่อมาก็ใช้อารมณ์ใจที่เป็นทิพย์ เวลาที่ไปมีแต่กายทิพย์นะ อยากจะทราบว่าทองคำที่เห็นนี่ มันจะมีอยู่แต่ผิวดินหรือว่าลึกเข้าไปก็มี ดูแล้วจะเห็นว่าลึกเข้าไปเป็นโยชน์เป็นทองคำบริสุทธิ์แท้ บางจุดที่อยู่เหนือผิวดินเป็นเม็ดทรายเม็ดเล็กๆคล้ายทราย แต่เหลืองอร่ามเป็นบริเวณกว้างมาก ลึกลงไปหน่อยก็เริ่มจากก้อนเล็กๆลึกลงไปมากรู้สึกว่าเป็นก้อนใหญ่ ก้อนขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งใหญ่หลายสิบหรือหลายร้อยกิโล
เธอก็มีความแปลกใจตรัสถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ แผ่นดินหรือหินที่เห็นเหลืองๆนี่เป็นทองคำใช่ไหมเจ้าค่ะ” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ใช่ เป็นทองคำธรรมชาติ” เธอก็ถามว่า เวลานี้ฝรั่งเขามาเที่ยวโลกพระจันทร์กัน ฝรั่งเขาพบทองคำธรรมชาติไหม พระองค์ก็ทรงยิ้ม แล้วบอกว่า ฝรั่งก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขารู้ทุกอย่างแล้ว ว่าที่ผิวของโลกพระจันทร์มีอะไรบ้างฝรั่งเขารู้หมด เขารู้เกือบครบแต่สิ่งที่ไม่รู้ยังมีอยู่ แต่ต่อไปเขาก็จะรู้หมด เพราะเขามีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ดี เขาใช้ความพยายามดีมาถึงโลกพระจันทร์ได้ แล้วก็เวลานี้แร่ธาตุที่มีประโยชน์เขาก็เอาไปใช้กันเยอะแล้ว
เธอก็ถามว่า ทองคำมีมากๆอย่างนี้ เขาจะขนไปไหน ท่านก็ตอบว่า เป็นของธรรมดาทองคำนี่มีคุณค่าสำหรับคนเวลานี้ โลกถือทองคำเป็นสำคัญ การจับจ่ายใช้สอยเงินทองต่างๆขึ้นกับทองคำ ธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นมาต้องใช้ทองคำรับรองจะแลกหาสิ่งของระหว่างต่างประเทศถือ ทองคำเป็นสำคัญ ฉะนั้นเรื่องทองคำที่ฝรั่งพบ จะเป็นฝรั่งอเมริกาก็ตาม ฝรั่งรัสเซียก็ตาม เขานำไปเยอะแล้วเขาก็นำไปมาก
เดินต่อไปอีก บริเวณกว้างมากทองคำ แธอก็ถามว่าทองคำในโลกพระจันทร์ กับทองคำที่มีในโลกมนุษย์ ที่ไหนจะมีมากกว่ากัน องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงตอบว่า ที่โลกมนุษย์มีทองคำไม่น้อย ถ้าคนไม่รบกวนไม่ขุดเอาไปใช้สอย ทองคำก็มีไม่น้อยกว่าโลกพระจันทร์ แต่เวลานี้คนขุดกันมานานแสนนาน ทองคำก็ร่อยหรอลงไป แต่สิ่งที่ธรรมชาติสร้าง ลูกรักท่านว่าอย่างนั้นนะ จะให้หมดเลยทีเดียวไม่ได้ มันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ แต่ว่ากานก่อตัวช้ากว่าการถูกทำลาย
ฉะนั้นทองคำในโลกมนุษย์สมัยก่อนมีมาก เวลานี้จุไรลูกรักเธอเห็นว่าตามพื้นผิวแผ่นดิน เต็มไปด้วยเม็ดทรายเต็มไปด้วยทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุไรเป็นคนไทย ถ้าถอยหลังจากนี้ไปอีกประมาณสักไม่ถึงพันปี หรือประมาณพันปีเป็นต้นมา ระยะนั้นประเทศไทยก็มีทองคำบนผิวดินเหมือนกัน เพราะเวลานั้นคนยังมีบุญญาธิการมาก ความดีมีมากกว่าความชั่ว การข่มเหงคะเนงร้ายในข้อ “ปาณาติบาตร ก็มีน้อย การยื้อแย่งคตโกงทรัพย์สินในข้อ “ อทินนาทาน” ก็มีน้อย การแย่งคนรักซึ่งกันและกันมีเหมือนกันแต่ก็มีน้อย การพูดปด พูดวาจาหยาบ ยุยงส่งเสรมให้เขาแตกร้าวกัน พูดวาจาไร้ประโยชน์ก็มีน้อย การดื่มสุราเมรัยก็มีน้อย จิตคิดประทุษร้ายกันก็มีน้อย จิตคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติคนอื่นก็มีน้อย
แล้วส่วนใหญ่ของคนก็มีความเห็นถูกตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า คือเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรม เชื่อพระอริยสงฆ์ ปฏิบัติความดีกันมาก คนชั่วก็มีคนดีก็มาก แต่คนดีมากกว่าคนชั่ว คนที่กำลังใจสูงมีมากกว่าคนที่มีกำลังใจต่ำ คนที่มีจิตเป็นบุญมากกว่าคนที่มีจิตเป็นบาป
ฉะนั้นทรัพย์สินในโลกจึงลอยอยู่เหนือพื้นดินใกล้ๆผิวดิน ถอยหลังไปไม่มากนักแค่สมัย “ท่านจามเทวี” เวลานั้นก็ปรากฏว่า ตามประวัติศาสตร์ของท่าน แค่ฝนตกชะลงมาทำให้ฝุ่นสลายตัวก็พบทองคำแล้ว การหาทองคำของคนสมัยนั้นหาไม่ยาก เพียงแค่เอามือไปคุ้ยเอาช้อนเอาทัพพีไปตักก็ได้ทองคำ ฉะนั้ตามพระเจดีย์ต่างๆก็ดีมีทองคำหุ้ม การสร้างพระพุทธรูปก็สร้างด้วยทองคำ วัตถุสิ่งของต่างๆที่ใช้กันก็เป็นทองคำมาก
รวมความว่าโลกมนุษย์ก็มีทองคำไม่น้อย แต่ว่าขุดกันมากเกินไป เวลานี้คนจิตใจเป็นบาปมากกว่าบุญ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคน จึงฝังลึกลงไปเพื่อหนีคนชั่ว แต่ก็ไม่หนีสุด ถ้าความดีมีอยู่บ้าง ก็สามารถจะได้สิ่งทั้งหลาย ที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ ก็รวมความว่าโลกมนุษย์ก็ยังไม่สิ้นทองคำ เธอมองไปมองมาเธอก็ยิ้มคิดว่านี่ฝรั่งเขามาได้ต่อไปฝรั่งก็รวยมาก ถ้าคนไทยมาได้คนไทยก็จะรวยมากเหมือนกัน แต่คนไทยเรายังไม่มีความสามารถ ด้านสร้างยวดยานพาหนะก็ไม่เป็นไร
แล้วเดินตามพระพุทธเจ้าท่านไปอย่าลืมว่านี่นิทานนะ นิทานจะจริงทุกอย่างไปไม่ได้ แต่ให้ถือว่า สิ่งทั้งหลายถ้าไม่เกินวิสัยที่พึงทำได้ ก็ลองทำดู เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็หลายสิบโยชน์นับเป็นร้อยโยชน์ เห็นความชุ่มชื่นความผ่องใสของโลกพระจันทร์ แต่ตอนนี้มีขาวนวลบางจุดก็ขาวจัด ขาวปร๊าบเข้าตาเป็นแสงสะท้อน มองไปมองมาทีแรกนึกว่าเงิน ตอนแจรกเธอคิดว่าเงินเห็นมันขาวๆ พอหยิบเข้าแต่สิ่งนั้นแข็งกว่าเงิน จึงได้ถามพระว่าสิ่งนี้อะไรพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า นั่นทองขาว ทองขาวที่มนุษย์นิยมว่ามีค่ามากกว่าทองคำ
เธอก็ถามว่าบริเวณนี้มีไกลมากไหม ท่านก็บอกว่าไกลมาก บริเวณกว้างมาก เธอก็ถามว่าลึกขนาดไหน ท่านก็บอกว่า ใช้ทิพจักขุญาณ เวลานี้ลูกจุไรมาด้วยกายทิพย์ ตาของลูกจุไรก็เป็นทิพย์จะมองถึงไหนก็มองได้ เธอก็ใช้กำลังเป็นทิพย์ตาทิพย์มองลึกลงไป มันลึกลงไปเป็นโยชน์ๆมีทองขาวซับซ้อนกันที่อยู่เหนือผิวดิน ก็เป็นทรายเหมือนกับทองคำ แต่ลึกลงไปประมาณหนึ่งเมตร รู้สึกว่าจับก้อนเป็นก้อนย่อมๆลึกลงไปมากเท่าไรก็เป็นก้อนใหญ่เท่านั้น
รวมความว่าทองคำที่มีสีเหลือง ก็มีในโลกพระจันทร์ ทองขาวที่มีค่ามากกว่าทองคำก็มีในโลกพระจันทร์ เธอก็หันไปถามองค์สมเด็จพระทรงธรรมว่า ทองขาวนี่ฝรั่งเขาพบแล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่าสิ่งที่ฝรั่งไม่พบไม่มี เวลานี้มันอยู่ผิวโลกฝรั่งเขาพบแล้ว ก็ใช้เครื่องมือทุ่นแรงไสเอาผิวๆไปใช้มากแล้ว เธอก็คิดในใจว่าฝรั่งเขามีบุญจริงๆน่ะ เขาสามารถใช้ยวดยานพาหนะไปถึงได้ เขาเอาจริงเอาจัง ถ้าคนไทยเรามีวิริยะอุตสาหะอย่างนี้อย่างฝรั่ง ก็สามารถจะกอบโกยความร่ำรวยได้จากโลกพระจันทร์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ทราบเวลาที่คนไทยเราเรียนวิทยาศาสตร์กับฝรั่งไปมาก ใครเขาสามารถมาเที่ยวโลกพระจันทร์นำวัตถุไปได้บ้างเราก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ก็รวมความว่า อาจจะเชื่อความสามารถของคนไทยว่า บางท่านหรือบางกลุ่มที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านจะย่องๆไปโลกพระจันทร์นำทองคำมาบ้างนำทองขาวมาบ้าง มาเป็นประโยชน์กับประเทศชาติบ้างเรารู้ไม่ได้ เรื่องความสามารถของคนที่ประมาทกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุไรเอง เธอไม่มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เธอก็เดาไม่ออก แต่ไม่ประมาทในบุคคลทั้งหลาย หลังจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็พาเธอเดินต่อไป
ต่อไปนี้ไปพบแหล่งบริเวณของแร่เงินมีบริเวณกว้างมากเหมือนกัน แล้วก็แร่ทองแดง แร่ตะกั่วก็มาก พอต่อไปเมื่อเดินไปอ้อมไปทางใต้ ปรากฏว่าโลกพระจันทร์นี่กลมเหมือนกันไม่ใช่แบน แล้วการเดินไปก็รู้สึกว่าแบนเพราะมันใหญ่ การเดินไปด้วยกายทิพย์ จะเปรียบเทียบกับกายเนื้อของฝรั่งไม่ได้ เพราะฝรั่งเอาเนื้อไปด้วย เนื้อมีความหนักแต่ความดึงดูดของโลกพระจันทร์มีน้อย ฝรั่งจึงรู้สึกว่าการดึงของโลกพระจันทร์เบาไป แต่กายทิพย์ไปที่ไหนก็มีอาการคล่องตัว ไม่ต้องอาศัยพื้นดินเท่าไรนัก ลอยไปก็ได้เดินไปก็ได้ตามชอบใจ
ต่อไปเจอะแหล่งสำคัญที่มีค่าสูงสุดในโลกพระจันทร์จุดหนึ่ง นั่นคือแหล่งแก้ว เห็นเป็นดินแพรวพราวเป็นระยับเหมือนเพชร ก้อนแร่เล็กๆที่วางอยู่บนโลกพระจันทร์เหมือนกับเพชรจริงๆ เด็กหญิงจุไรตัวเล็กๆจึงได้ก้มลงกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอก็ถามว่าแร่นี้มีคุณค่ามากใสเหมือนแก้ว ท่านก็ตอบว่าใช่ แต่นี่คือแก้ว เธอก็ถามว่า แม่มีแหวนเพชรแต่เพชรถือว่าดีที่สุดในโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่สวยเท่านี้ ไม่ใสเท่านี้ ไม่เป็นประกายเท่านี้
สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงตอบว่า ใช่แก้วอันนี้จะถือว่าเป็นเพชร ก็เป็นเพชรที่มีความสำคัญมาก มีค่าสูงกว่ามีความแจ่มใสมากกว่า คือแก้วในโลกมนุษย์เราสู้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพชรที่เราใช้กัน ก็ไม่มีประกาย เวลาต้องแสงอาทิตย์ หรือต้องแสงไฟก็เป็นประกายเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็มองกันเป็นแก้ว คนใส่แหวนเพชรก็เหมือนใส่ตูดขวด หมายความว่าคล้ายๆกับเอาแก้วตูดขวดไปทำแหวนเพชร มีค่าไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่แพรวพราวเมื่อถูกแสงไฟก็เล็กน้อย แต่ว่าแก้วที่พบเวลานี้ยังไม่ต้องแสงอาทิตย์ ก็สามารถสะท้อนแสงออกมาได้ แพรวพราวเป็นระยับ เธอก็ถามว่าบริเวณกว้างยาวเท่าไร ท่านก็ตรัสว่า นับเป็นโยชน์ไม่ได้หรอกลูก มันต้องนับเป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ ที่มีมากเพราะคนไม่กวน เธอก็ถามถึงความลึก ท่านก็ตอบว่า ให้ใช้อารมณ์ใจที่เป็นทิพย์หรือว่าใช้ดวงตาที่เป็นทิพย์มองดู
ในที่สุด เธอก็ใช้ความเป็นทิพย์มองดู ปรากฏว่าเพชรพิเศษที่มองเห็นนี่อยู่ลึกมาก และมีปริมาณมาก เธอจึงกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ฝรั่งเขาได้ไปหรือยัง ท่านก็ตอบว่า แร่ที่ฝรั่งได้ไปครั้งแรกฝรั่งได้แร่ผิวที่เป็นเพชรมีติดไปด้วย แล้วก็ฝรั่งเวลานี้ก็นำไปได้เยอะแล้ว
ก็รวมความว่าฝรั่งนี่เขามีบุญ เธอคิดในใจว่าทำอย่างไรคนไทยจึงจะได้บ้าง ถ้าใช้กำลังความเป็นทิพย์ ไม่สามารถจะหยิบเอาวัตถุที่มีน้ำหนักไปได้ แต่ถึงกระไรก็ดีเพียงรู้เท่านี้ก็ถือว่าเป้นบุญตัว ต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า จุไรเวลานี้โลกมนุษย์ดึกมาแล้ว พรุ่งนี้ต้องเรียนหนังสือลูกจะต้องกลับ แต่ก่อนจะกลับพ่อก็ขอเตือนว่า ความกตัญญูรู้คุณ การปฏิบัติคุณสนองความดีของผู้มีคุณตามคำแนะนำของท่าน และความเคารพในท่านอย่าลืม ถ้าไม่ลืมข้อนี้ พ่อจะสามารถนำเที่ยวได้ทุกภพแล้วข้อที่ ๒ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามพระธรรม และพระอริยสงฆ์สอนอย่าลืม
ประการที่ ๓ กรรมบถ ๑๐
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์
๒. ไม่ลักทรัพย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. ไม่พูดมุสาวาท
๕. ไม่พูดหยาบคาย
๖. ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
๗. ไม่พูดวาจาเหลวไหล
๘. ไม่คิดประทุษร้ายใคร
๙. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติใคร
๑๐. รักษาความดีให้ทรงตัว
ถ้าปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ลูกรักจะสามารถไปได้ทุกภพทุกสถานที่ เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว เอาล่ะลูกหลานถือว่าหมดคอร์ทของโลกพระอาทิตย์และโลกพระจันทร์ ความจริงเรื่องราวมีมากกว่านี้มากแต่ขอยับยั้งเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณพูนผล จงมีแก่ลูกรักทุกคน สวัสดี.
จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร
ลูก หลานทุกคนโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ ที่พ่อป่วยไปหลายวัน หลังจากเล่านิทานไปเที่ยวโลกพระจันทร์ กลับมาแล้วในที่สุดก็ป่วย อาการป่วยเป็นด้วยอาการเฉียบพลัน ต้องรักษาแบบแปลกๆ คือการรักษาถ้าหมอรักษาตามแบบก็เห็นจะหายช้า หรือมิเช่นนั้นก็ต้องถูกทรมาน ก็จำต้องรักษาตามอาการของโรค ขอลูกรักทุกคนจงโปรดทราบว่า การเกิดของมนุษย์ทุกคนมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็มีความแก่ขึ้นทุกวันใน ท่ามกลาง มีความเจ็บไข้ไม่สบายอยู่เสมอ แล้วก็มีความตายในที่สุด สำหรับพ่อเป็นคนแก่แล้ว เมื่อความแก่เข้ามาถึงความตายก็จะเข้ามาถึงเป็นธรรมดาแต่ก่อนที่จะตายบรรดา ลูกรักทุกคนมันก็ต้องป่วย ความจริงนี่พ่อป่วยเป็นอาชีพเพราะตรากตรำทำงานหนัก รับผิดชอบการงานหลายอย่าง ทั้งๆที่ไม่มีใครเขาใช้ แต่กฏของกรรมใช้จำจะต้องทำ ทำเพื่อความหมดทุกข์ แต่ก่อนที่จะหมดทุกข์มันก็มีทุกข์หนัก หนักทางกาย หนักทางใจ แต่กำลังความพอใจมันมีอยู่จึงมีความสุข
ก็รวมความว่าวันนี้มาคุยกับลูกหลานทุกคน หวังจะเล่านิทานสู่กันฟัง สำหรับนิทานลูกรักทุกคนโปรดทราบ จงอย่าถือเป็นความจริง เรื่องดวงดาวต่างๆมีจริง เรามองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี แต่ความเป็นมาจริงๆของดวงดาวเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก นี่เป็นเรื่องของนิทาน
นิทานวันนี้ก็จะเล่าเรื่องของ “จุไรไปเที่ยวโลกพระอังคาร” ดาวอังคารลูกรักทุกคน ตั้งแต่พ่อเกิดมาจำได้ว่าอายุ ๕ ปีเศษ ตอนนั้นอ่านหนังสือออกแล้ว ก็อ่านหนังสือพบว่าชาวเยอรมัน เขาตั้งกล้องดูโลกพระอังคาร ความจริงตอนนั้นเขาไม่สนใจเรื่องโลกพระจันทร์กัน หรือว่าเขาจะสนใจก็ไม่ทราบ แต่อ่านหนังสือทีไรพบว่า เขาต้องการโลกพระอังคาร เขามองดูโลกพระอังคาร บางปีเขาบอก โลกพระอังคารลอยเข้ามาใกล้ บางปีเขาบอกว่าไกลออกไปอย่างนี้เป็นต้น
ก็เป็นอันว่าโลกพระอังคารมี จริง แต่ว่าพ่อเองหรือใครก็ตาม ไม่สามารถมองเห็นโลกพระอังคารด้วยตาเปล่า วันนี้ก็มาเล่านิทานเรื่องโลกพระอังคารกัน สำหรับลูกหลานที่เคยฟังกันมาแล้วก็ไม่ใช่ของแปลก ท่านที่ไม่เคยฟังท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็ดี ที่เป็นเด็กก็ดี ถ้าจะถามว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนา ถ้าต้องการจะไปอย่างฝรั่งส่งจรวดขึ้นไปอย่างนี้ ต้องได้ “มโนยิทธิ หรือ อภิญญา” สามารถไปได้
ก็รวมความว่าหลักสูตรพระพุทธ ศาสนาไปได้จริงแหล่ แต่ทว่าวันนี้เป็นเรื่องของนิทาน แต่ความจริงก่อนที่จะเล่าก็อยากจะพูดกับลูกหลาน โปรดทราบว่าโลกพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี พระอังคารก็ดี พระพุธ พระศุกร์ พระเสาร์ พระเกตุ พระราหู ทั้งหมดนี้เป็นดาวนพเคราะห์ ในหลักสูตรโหราศาสตร์ในมหาทักษาถือเป็นพระเคราะห็สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวที่เป็นบาปเคราะห์ ก็คือดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวเสาร์ แล้วก็ดาวราหู ทั้ง ๔ ดาวนี้ปรากฏว่า ถ้าดาวดวงไหนหรือพระดวงไหนเสวยอายุ คนที่พระดวงนั้นๆ เสวยอายุก็ดี หรือว่าเข้าแทรกก็ดี จะมีแต่ความเดือดร้อน ความสุขจะหาได้ยาก จะมีความสุขบ้างก็มีความทุกข์หนัก
สำหรับดวงดาวที่เสวยอายุที่เป็นสมพระเคราะห์ ก็มีดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส ทั้ง ๔ ดาวหรือ ๔ พระนี้ถ้าเสวยอายุใคร คนนั้นก็จะมีแต่ความสุข มีลาภมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป ขอเล่าย่อๆแต่เพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ จึงพูดถึงความเร่าร้อน เมื่อกล่าวถึงดวงจันทร์หรือโลกพระจันทร์จึงพูดถึงความแช่มชื่นหรือสมบัติ
วันนี้เป็นดาวอังคารหรือพระอังคารเสวยอายุ ก็จะต้องพูดถึงความเร่าร้อนเหมือนกัน แต่ว่าพระอาทิตย์ก็ดี พระอังคารก็ดี แล้วก็พระเสาร์ก็ดี พระราหูก็ดี หรือจะเรียกว่าดาวก็ได้ ในเมื่อเสวยอายุแล้ว จะไม่ให้แต่ความเร่าร้อนเสมอไป บางโอกาสก็ให้ความสุขเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นทุกขลาภ คือก่อนที่จะได้ลาภก็มีทุกข์ก่อน มีความเร่าร้อนก่อน ไม่ใช่มีแต่โทษ คุณก็มี โทษก็มี นี่จริยาของดาวต่างๆของพระเสวยอายุต่างๆเป็นอย่างนี้
ต่อไปก็มาเล่าสู่กันฟังว่าหลังจากจุไรกลับมาจากโลกพระจันทร์แล้ว จุไรมีความกตัญญูรู้คุณในบิดามารดา รู้คุณในครูบาอาจารย์มีความเคารพท่าน แล้วก็มีความเคารพ ในบุคคลที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติทำใจให้เยือกเย็น สิ่งใดถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง ก็พยายามฝืนยิ้มทำหน้าตาให้แช่มชื่น การฝืนแบบนี้ไม่ช้าจิตก็ชิน ความไม่พอใจก็มีน้อย ความไม่พอใจเกิดขึ้น ความดีของจิตที่ทรงอุเบกขาวางเฉย และเมตตา ความรัก กรุณา สงสาร ความกตัญญูรู้คุณก็เข้ามาแทรก ทำให้จิตใจสดชื่นสามารถยิ้มได้สบาย
ฉะนั้นจุไรจึงมีความสุข เธอมีความสุขในการกตัญญูรู้คุณบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ มีความสุขในด้านขยันหมั่นเพียร ประกอบกิจการงานและการศึกษาและก็มีความสุขในการประพฤติดี ตามธรรมจริยาเป็นต้น ก็รวมความว่าจุไรเป็นคนดี
วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ มองดูเวลาเกือบ ๑๙.๐๐ น. จุไรก็มีความรู้สึกว่าวันนี้มีความเย็นมากแล้ว รับประทานอาหารเสร็จ ช่วยบิดามารดารดน้ำผักพรวนดินเสร็จเรียบร้อย ก็กราบบิดามารดาเข้าห้องทำการบ้านเสร็จ หลังจากนั้นก็นั่งหน้าพระพุทธรูปกราบพระพุทธสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน ตั้งใจจับพระรูปพระโฉม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธรูปหลับตานึกถึงภาพพระภาวนา “พุทโธ” หรือ “สัมมา อรหัง” บางทีก็ “นะ มะ พะ ธะ” บ้างตามอารมณ์
จิตใจก็สดชื่นจิตเข้าสู่ อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด เธอเห็นภาพพระชัดเจน มีความผ่องใสมาก จิตใจก็นึกตวัดว่าโอหนอฝรั่งเขาบอกว่าเขาจะไปดาวพระอังคาร ดาวพระอังคารนี้อยู่ไหนสนใจดาวพระอังคาร ตามนิมิตรก็กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทูลขอพรว่าอยากจะไปเที่ยวดาวพระอังคาร นี่คุยกันตามนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนิทาน บรรดาลูกหลานที่รัก ท่านที่ได้อภิญญาทุกคนจะเห็นว่าเป็นของไม่แปลกหรือว่าเป็นของเด็กเล่นก็ได้ เพราะจักรวาลต่างๆอยู่ใกล้มาก ท่านไปสวรรค์ ไปนรก ไปพรหมโลกบ้างเป็นต้น มันไกลกว่าหลายแสนเท่า เมื่อกราบพระมีจิตคิดอย่างนั้นก็เห็นแย้มพระโอษฐ์มีความยิ้มน้อยๆเสียงตรัส ว่า จุไรลูกรัก ถ้าอยากจะรู้จักโลกพระอังคารตามพ่อมา หลังจากนั้นพระก็นำหน้าจุไรลอยตามหลัง คือว่าเวลานี้จิตของจุไรสอาดมาก ไม่มีกังวลทุกอย่าง จิตมุ่งอย่างเดียวเห็นภาพพระใจมีความเคารพในพระ ลอยตามพระไปอย่างไม่ยาก ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว
ก็ปรากฏว่าเจอะโลกๆหนึ่ง ใหญ่กว่าพระจันทร์ แต่ลักษณะแตกต่างจากโลกพระจันทร์ คือลอยขึ้นไปดูด้านบนจะแป้นๆหน่อยๆ ไม่กลมเหมือนโลกพระจันทร์ ตอนกลางของโลกนี้จะมีรอยบุ๋มเข้าไป คือลุ่มหน่อยตรงกลาง มองลงไปแล้วดูเหมือนว่าจะมีน้ำ แต่น้ำจริงๆเป็นน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งก็ไม่ได้เต็มไปหมดเสมอไป อยู่ในอ่างใหญ่เป็นน้ำแข็ง ในที่ดอนขึ้นมาหน่อยปรากฏว่าไม่มีน้ำ
มองดูลักษณะของโลกพระอังคาร จะว่าคล้ายๆกับลูกชมพู่ก็ไม่แปลกนัก หรือว่าจะคล้ายลูกแอบเปิ้ลก็ไม่หนักนัก มันหัวแป้นๆ แต่ตรงกลางใหญ่ ตรงก้นเรียวนิดหน่อยไม่เรียวมาก แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ มีความรู้สึกว่า แข็งแกร่งกว่าโลกพระจันทร์มาก โลกพระจันทร์มีส่วนยุ่ยมาก แต่โลกพระอังคารนี่ยุ่ยน้อย จริงๆมองในขณะนี้ปรากฏว่ายังไม่เห็นรอยยุ่ยเป็นหินแข็ง
ต่อมาก็ลงเดินตามพระไป ลงไปถึงโลกพระอังคาร แต่ความจริงการยืนมองอยู่ข้างนอก เห็นว่าโลกพระอังคารไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก โดยเฉพาะสายตาสามารถมองไปได้ทั่วทั้งโลก เหมือนกับยืนมองลูกส้มโอลูกใหญ่ๆ มองได้ชัดเจนทุกครั้ง มองมามองไปก็ลงไปที่โลกพระอังคาร ลงไปทีแรกใกล้กับจุดน้ำแข็ง ก็คิดว่าโลกพระอังคารนี่มีความเยือกเย็นด้านบน ลองคลำดูย่องๆไปถึงตอนกลาง ตอนผิวนูนขอบๆอันนี้รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเย็นนักไกลออกไป ไปข้างๆเกิดความอบอุ่นไปตรงปลายลูก ข้างล่างรู้สึกมีความร้อนสูงขึ้นตามลำดับ
รวมความว่าโลกพระอังคารมีความเย้นกับความร้อนไม่เสมอกัน ถ้าดูผิวเป็นผิวเกลี้ยงเหมือนกับหินขัด หรือว่าปูนที่เขาทำผิวดีแล้ว ต่อมาก็เดินไปตามจุดต่างๆคิดในใจว่า โลกพระอังคารนี้มีสิ่งที่มีมนุษย์ไหม เคยอ่านหนังสืออ่านเล่นเขาว่าคนในโลกพระอังคารมี แต่ในโลกพระอังคารจะมีคนหรือมีสัตว์ไม่ทราบ แต่เวลานี้ไม่เห็นมี ในเมื่อไม่เห็นก็ต้องบอกว่าเวลานี้ไม่พบ ยังไม่กล้าปฏิเสธความมีของสิ่งมีชีวิต มองดูไปแล้วก็คิดว่า
เยอรมันเมื่อสมัย ๗๐ ปีที่ผ่านมา เคยอ่านหนังสือว่าชาวเยอรมัน เอากล้องส่องโลกพระอังคาร ทำไมจึงไม่ส่องพระจันทร์ เหมือนเวลาปัจจุบัน พระอังคารอยู่ไกลกว่าแต่เยอรมันต้องการ ก็อยากจะทราบว่าโลกพระอังคารจริงๆนี่มีอะไรอยู่บ้าง ก็นึกในใจๆถามพระด้วยความเคารพ
เวลานั้นมีความรู้สึกว่า เข้าไปกราบพระท่านแล้ว ก็ทูลถามว่า ภันเต ภควา ศัพย์นี้บรรดาลูกหลานทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าพระพุทธเจ้ามาช่วยคนทุกคนได้อย่างไร ก็ต้องกล่าวว่าเป็น “พทธนิมิตร” อาจจะเป็นฉัพพรรณรังสีอะไรก็ตามเถอะ เพราะเห็นเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน นิทานเสียอย่างอะไรก็ได้ แล้วก็ถามว่าโลกพระอังคารมีประโยชน์อะไรบ้าง เกลี้ยงเกลาแบบนี้ไม่มีสิ่งที่มีความสำคัญ สำหรับชีวิตมนุษย์บ้างหรือพระเจ้าข้า ก็ได้ยินเสียงพระตอบว่า
จุไรลูกรักโลกพระอังคารไม่ได้เกลี้ยงเลย ดูแล้วจะเห็นมีความแข็ง แต่โลกพระอังคารนี่มีสิ่งที่อันตราย ต่อสิ่งมีชีวิตมากกว่าโลกพระจันทร์ เพราะทั้งลูกโลกพระอังคารนี่มีรังสีมาก ภายในมีความเร่าร้อนสูง แล้วความเร่าร้อนนี้ ก็กลายเป็นไอระเหยออกมาภายนอก ไอระเหยเหล่านี้มาจากแร่ธาตุที่มีความสำคัญ แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านสันติก็มีมาก แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านการทำลายก็มีมาก แร่ธาตุบางอย่างมีความสำคัญ ทั้งทางด้านสันติและทำลาย
จุไรก็อยากจะถามตามความเป็น จริงว่า แร่ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ตรงไหนพระเจ้าข้า พระก็บอกว่า จุไรลูกรักทำจิตให้มั่งคงกว่านี้ ตั้งใจเห็นจิตในจิต เอาจิตมองจิตของตัวเองให้เป็นประกายพรึก ให้แพรวพราวเหมือนดาวประกายพรึก ที่จะมองเห็นในเวลาเช้ามืด ให้ใสสว่างขนาดนั้น แล้วจงตั้งใจดูอะไรอยู่ตรงไหนที่อยากจะเห็นในเมื่อจิตที่ไปเป็นจิตที่สะอาด กายที่ไปเป็นกายของนามธรรม มีความสะอาดมีความเบา การกำหนดจิตให้แจ่มใสเป็นของไม่ยาก
แล้วอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอก็มองดู ความสำคัญภายในโลกพระอังคาร ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็เป็นการพอดีตรงจุดที่เธอยืน จุดนั้นปรากฏว่ามีแร่ทองคำขนาดหนัก มีบริเวณกว้างมากและก็ลึกมาก ส่วนที่ลึกลงไปเป็นแท่งใหญ่ๆเป็นแท่งทึบมีความแข็ง ส่วนที่ตื้นขึ้นมาใกล้ผิวเรียกว่าซุยเหมือนเม็ดทราย เป็นทองคำเม็ดเล็กๆเหมือนเม็ดทราย แต่ว่ามีหินภายนอกปิดบังความแข็งอยู่เล็กน้อยเป็นหินเกลี้ยงถ้าขุดจะตักก็ เป็นของไม่ยาก เพียงใช้วัตถุแข็งๆกระเทาะหินออก หินจะมีความหนาไม่ถึงฟุตแล้วก็มีความแข็งไม่มาก ก็จะสามารถตัดทองคำซึ่งเป็นเม็ดทรายขึ้นมาได้โดยสะดวก
เธอก็นึกในใจว่า ในเมื่อโลกพระอังคารมีสมบัติหนักขนาดนี้ เยอรมันสมัยนั้นจึงสนใจโลกพระอังคาร แล้วก็มองดูต่อไปข้างหน้าโน้นบริเวณแร่ทองคำ ถ้าปริมาณความยาวรู้สึกว่าหลายโยชน์ เป็นแสนโยชน์เรียกว่าเป็นทะเลทองคำ มีความลึกก็มากบริเวณก็มาก ใช้ความเป็นทิพย์ของจิตดูรอบๆ ว่าบริเวณทองคำบนโลกพระอังคาร มีจุดเดียวหรือว่าหลายจุด
ก็ปรากฏว่ามีหลายจุดในโลกพระอังคาร มีทั้งส่วนบนถ้าคิดตามโลกปัจจุบันก็เป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต้องถือว่าเป็นทิศหรดี จุดนี้ตั้งแต่ขอบเบื้องบนไปเรื่อยไปเกือบถึงส่วนกลางของโลก เป็นร่องรอยเป็นที่อยู่ของทองคำ แล้วก็เป็นจุดใหญ่มาก รวมความว่าโลกพระอังคารจุดนี้ ทองคำมีจำนวนมาก จุดอื่นก็เหมือนกันแต่ไม่มากเท่านี้ ตาละจุดที่มีประมาณ ๔-๕ จุดใหญ่ๆส่วนเล็กมีมากถ้าจะเอาทองคำก็นับเป็นแสนตัน นี่พูดถึงจุดย่อย จุดใหญ่นั้นหาประมาณมิได้
ต่อไปถ้าลึกลงไปจากทองคำ ส่วนนั้นก็จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นแร่ซึ่งมีผิวหรือมีสีก็บอกไม่ถูก ช้ำเลือดช้ำหนอง บางจุดก็แดงบางจุดก็เข้มค่อนข้างจะเขียวเป็นมัน แร่ประเภทนี้จะกลายตัวเป็นทองคำ ใจก็นึกถามพระว่า แร่ประเภทนี้ในประเทศไทยมีไหม ท่านก็บอกว่า มี เกรดต่ำกว่าบนโลกพระอังคาร เพราะบนโลกพระอังคารร้อนกว่า แร่ประเภทนี้บนโลกพระอังคารเข้มข้นกว่าบนโลกที่เราอยู่ การกลายตัวของแร่ประเภทนี้บนโลกมนุษย์ จึงเชื่องช้ากว่าโลกพระอังคาร แล้วก็มีความแข็งแกร่งคือเกรดสูงไม่เท่าของโลกพระอังคาร
จุไรจึงนึกในใจว่า โอหนอเป็นอย่างนี้ เยอรมันจึงต้องการรู้เรื่องโลกพระอังคาร และสนใจโลกพระอังคารมาก ก็ดูต่อไปเดินลงใต้ของโลกพระอังคารเรื่อยๆไป ก็พบกับความเยือกเย็นน้อยๆลง เริ่มมีความอุ่นขึ้น เดินเข้าไปปลายลูกด้านหนึ่ง รู้สึกมีความหนาวเย็นมากขึ้นเป็นลำดับ
รวมความว่าตอนท้ายสุดจุดต่ำสุดของโลกพระอังคาร มีความร้อน จุดที่ข้างบนนี่นะหนาวเย็นมีหิมะจับ จุดใต้ลงไปก็มีความอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ผลที่สุดก็เข้าถึงเขตร้อน มาจุดนี้จุไรก็พบแร่ชนิดหนึ่ง แร่ประเภทนี้มองผิวๆ จะรู้สึกว่าเป็นสีดำเป็นมัน แต่ว่าภายในนั้นเป็นสีใสมาก แร่ประเภทนี้ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ก็ตรัสว่าเป็นแร่ที่มีความสำคัญ ใช้กำลังแรงงานได้สูงมาก แรงงานที่ใช้ในแร่ประเภทนี้
๑. แรงขับเคลื่อน
๒. แรงทำลาย
๓. แรงด้านสันติ
มีความเข้มข้นทุกอย่าง แรงขับเคลื่อน จุไรก็ถามท่านสมมุติว่าได้มาสัก ๑ กิโล การขับเคลื่อนจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าน้ำมันขนาดไหน ท่านก็ตอบว่า แค่เพียง ๑ กิโล จะใช้การขับเคลื่อนกับน้ำหนักต่างๆ ได้หลายสิบตัน คือยานพาหนะที่จะใช้กับแร่นี้ เป็นเครื่องขับเคลื่อนหลายสิบตัน แร่นี้ ๑ กิโล สามารถจะให้ความเร็วได้ จะให้ความเร็วหรือความพุ่งตัวของยานพาหนะ ถ้าเทียบกับกำลังน้ำมันๆพุ่งไปได้ ๑ เท่า แร่ประเภทนี้ ๑ กิโลสามารถจะมีกำลังแรงถึงแสนเท่า
จุไรจึงถามท่านว่า ถ้าแร่ประเภทนี้คนจะเอามาทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เกินวิสัยของคน เวลานี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำแร่ยูเรเนียมได้ แร่ยูเรเนียมวัตถุที่ให้เกิดนิวเคลียร์ ความจริงม่ใช่แร่เป็นยูเรเนียมหรือนิวเคลียร์แต่ว่าแร่ที่เอามาทำ มีรังสีที่สามารถพิฆาตเข่นฆ่าคนและสัตว์ให้ตายได้ นักวิทยาศาสตร์เขาก็สามารถ เอาแร่เหล่านี้มาทำประโยชน์ได้ฉันใด แร่ที่เห็นนี้ถ้าความจริงนักวิทยาศาสตร์เขามาพบ ก็สามารถจะเอาไปทำประโยชน์ได้เช่นเดียวกับแร่ที่กล่าวมาแล้ว
แล้วเธอก็ถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อยากจะทราบว่ามีคนในโลกนี้บ้างไหม ที่สามารถจะใช้แร่นี้ให้เป็นประโยชน์ ท่านก้ตอบว่า คนในโลกนี้ยังไม่มีใครเอาไป เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีคนในโลกนี้ไม่มีสัตว์ ถ้าจะว่ากันถึงคนจริงๆเวลานี้ ในโลกนี้มีอยู่คนเดียว จุไรถามว่า เวลานี้เขาอยู่ไหน ท่านก็ตอบว่า คนที่ยืนคุยกับท่านอยู่นี่ล่ะ คือจุไรนี่ล่ะมีอยู่คนเดียวในโลกนี้ อีกสักครู่หนึ่งเธอก็ไปอยู่โลกชมภูคือโลกมนุษย์ จุไรจึงถามว่า ในเมื่อไม่มีคนแร่เหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แก่โลก
ท่านก็ตรัสว่า คนที่เขามีความสามารถมี ถ้าเยอรมันมาได้เยอรมันก็จะนำประโยชน์จากแร่นี้ด้วย จากทองคำด้วยใช้เป็นประโยชน์ แต่เวลานี้เยอรมันจะมาได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีใครทราบ ในเมื่อจุไรถามท่าน ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอก เป็นหน้าที่ของคนทุกคนจะพึงทราบเอง เพราะการบอกไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอกได้ จุไรถามว่า ทรงทราบไหมว่าเยอรมันมาได้หรือไม่ได้ ท่านตอบว่า ถ้าพระซะอย่างต้องการทราบจะต้องทราบในเมื่อเยอรมันคิดต้องการมาโลกนี้ คิดเวลาแล้วเกิน ๘๐ ปีแล้วความสามารถของเยอรมันรู้สึกว่าจะเหนือชาวโลกใดๆ ฉะนั้นคงจะไม่เป็นเหตุเกินวิสัย ที่ชาวเยอรมันจะมาโลกนี้
เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย เวลานี้ก็ปรากฏถึงเวลา ๓๐ นาทีคอก็เริ่มแห้ง ทุกคนก็เริ่มเมื่อย ตั้งใจฟัง พักผ่อนกันสักนิดน่ะ พักประเดี๋ยวขอดื่มน้ำสักหน่อย ตอนนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกรักทุกคน สวัสดี
จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร ตอนที่ ๒
ลูกร้กทั้งหลายหลังจากการให้น้ำให้ท่ากัน แล้ว พักเหนื่อยชั่วประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนกับนักมวยถึงยกก็พักกันที นีกมวยเขา ๓ นาทีพัก ๑ นาที แต่ว่าพ่อเป็นคนแก่ ๓๐ นาทีพัก ๓ นาที เรียกว่าชกยาวกว่านักมวยพักยาวกว่านักมวยนิดหน่อย แต่คิดเวลาก็เสียเปรียบ ความจริงวันนี้คิดว่าจะไม่ไหว เพราะเมื่อวานกับวานซืนนี้ทำท่าจะตาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีแรงพอพูดได้ก็พูดกันต่อไป ทุกคนฟังแล้วอย่าลืมว่า อันนี้เป็นเรื่องของ “นิทาน” ถ้าไม่ตรงกับความจริงนักวิทยาศาสตร์ ก็อย่าด่ากัน ถ้าใครด่านิทาน ก็คือด่าผี ถ้าคำด่าไม่ถูกตัวผีก็ถูกตัวคนด่าก็หมดเรื่องกันไป
รวมความว่าจุไรก็กราบทูลพระว่า ชาวเยอรมันสามารถจะนำวัตถุที่มีความสำคัญไปได้ไหม แล้วก็ได้หรือยังในฐานะที่สนใจมานานนัก แต่ท่านก็ไม่ยืนยันแน่นอนว่าเยอรมันได้ไป ท่านก็ยังไม่ปฏิเสธว่าเยอรมันยังไม่ได้ ข้อนี้ก็ต้องคิดและก็ต้องคิดมาก ที่ว่าคิดมากก็เพราะ
เมื่อเร็วๆนี้ไม่นานนัก ปรากฏว่าเครื่องบินของเยอรมัน เป็นเครื่องบินเล็ก มีหนุ่มอายุ ๑๙ ปี ขับเคลื่อนไปจากประเทศเยอรมัน เข้าไปในเขตของรัสเซียไปลงที่ “จัตุรัสแดง” รัสเซียเรียกว่ามีหมออย่างดีส่องกล้องอย่างดี นั่นก็หมายความว่าสิ่งเล็กๆแม้เท่าตัวแมลง ถ้าจะผ่านประเทศของรัสเซียทางอากาศก็สามารถจะจับภาพได้
แต่เครื่องบินส่วนบุคคลมันใหญ่ ตัวคนก็ใหญ่ แต่รัสเซียไม่สามารถจะจับภาพได้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมทางวิทยาศาสตร์ และรัฐมนตรีกลาโหม ต้องออกจากตำแหน่งกันเป็นแถวๆ การออกนี่เขาจะลาออกหรือว่าจะให้ออกก็ไม่ทราบ
รวมความว่าฝ่ายที่รับผิดชอบรับผิดเต้มที่ ข้อนี้ก็ต้องคิดลูกหลานที่รักว่า ถ้าเยอรมันไม่มีความสามารถจะหลบหลีกได้ คำว่า “หลบหลีก” หมายความว่า “ทำให้ไม่เห้นได้” ทำให้เครื่องจับภาพเสีย หรือเวลานั้นใช้การไม่ได้เหมือนกับคนมีตา เวลานั้นตาหลับสักประเดี๋ยวเดียวหรือตาฝ้าตาฟาง ไม่สามารถจะมองเห็นได้ นี่เข้าไปเมืองทีเดียว (จัตุรัสแดง)
รวมความว่าสงสัยเยอรมันจะนำแร่จากโลกนี้ไป ได้ก็ไม่ทราบ เพราะเยอรมันไม่มีสิทธิที่จะเปิดเผยให้โลกทราบ จึงได้นึกว่าเยอรมันมีความสามารถเป็นพิเศษ อย่างเมื่อสมัยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๑ เขาห้ามทำอาวุธแต่พอ “ฮิตเลอร์”
ขึ้นมามีอำนาจฉีกสัญญา “แวร์ซาย” บนรถไฟเก่าๆที่ทำสัญญาแพ้ศึกสมัยก่อน หลังจากนั้นแล้วเยอรมัน ก็มีอาวุธพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย
ในอันดับแรกเห็นว่ามี จรวด วี-๑ วี-๒ สามารถมีเครื่องบังคับการยิงปืนใหญ่ ใช้เครื่องวิทยุทหารคนหนึ่ง สามารถบังคับปืนใหญ่ได้ ๘ กระบอก ยิงได้ตามเป้าหมาย จรวด วี-๑, วี-๒ เขายิงจากที่นู้นมาลงอังกฤษ แล้วสามารถจะลงที่ไหนถูกอะไรบ้างก็ได้ รถถังเยอรมันที่เรียกว่า “รถราชสีห์” ใช้วิทยุขับเคลื่อนทหาร ขับเข้าไปใกล้ชายแดนใกล้สนามรบ เวลาจะทำการรบ ทหารก็ลงบังคับให้รถไปรบแต่ผู้เดียว เมื่อรบเสร็จก็บังคับให้รถกลับมารับแล้วกลับที่เดิม รถก็มีความแข็งมาก เวลานั้นปรากฏว่าชาวรัสเซียก็ยอมรับว่า รถราชสีห์นี่แข็งมาก ปืนต่อสู้รถถังยิงจังๆ หน้าเพียงถลอกบางๆไปเท่านั้นเอง
ก็รวมความว่าชาวเยอรมัน มีความสามารถพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย ในเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางสัมพันธมิตรห้ามเยอรมันกับญี่ปุ่นมีทหาร เขาควบคุมเองตอนนี้เยอรมันกับญี่ปุ่นรวยมาก มีทองคำมาก ในเมื่อสมัยก่อนเธอไม่มีทรัพย็สิน ยังสามารถสร้างอาวุธพิเศษได้ ในขณะที่เยอรมันมีทรัพย์สินมากรวยมาก ที่ไม่สามารถจะสร้างอะไรลับๆไม่มีในสมัยนั้น ที่น่าแปลก ก็เขาห้ามนำอาวุธ แต่พอฮิตเลอร์ฉีกสัญญาแวร์ซายแล้ว อาวุธต่างๆปรากฏขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างรถถังก็ดี เรือรบก็ดี เป็นของใหญ่ที่ต้องต่อในที่ใหญ่ เยอรมันก็สามารถทำให้ชาวโลกไม่เห็นว่ามีรถถังกับเรือรบ เขาต่อที่ไหนใครก็ไม่ทราบ เรือรบมันไม่ใช่เล็ก นี่ความสามารถเยอรมันมีมากอย่างนี้
บรรดาลูกหลานที่รัก ในเมื่อเยอรมันมีเงินมากแล้วก็ไม่มีใครสงสัย ในการสร้างอาวุธแล้วการที่เธอจะมาโลกนี้ ก็เป็นของไม่แปลกในการปิดบังย่อมทำได้ เขาไม่ประกาศ ก็รวมความว่าเยอรมันจะมาโลกนี้ได้หรือไม่ได้ ไม่ยอมรับเหมือนกัน แต่ว่าสงสัย ความสามารถของเยอรมันเห็นชัดว่า สามารถนำเครื่องบินผ่านรัสเซียลงกลางใจเมือง คือ “จัตุรัสแดง” ได้
รวมความว่าต้องคิดว่าเยอรมันอาจจะได้อะไรไปจากโลกนี้บางก็ได้ โลกพระอังคารนี่มันเป็นบาปเคราะห์จริงๆ ต่อไปก็คุยกันถึงโลกพระอังคารต่อ ว่าจะเล่าตอนเดียวจบ ตอนที่ ๒ พยายามรัดให้จบ
ในเมื่อจุไรมีความสงสัยอยากจะทราบต่อไป เห็นทองก็เห็นแล้ว ทองเป็นที่พอใจของผู้หญิง ถึงแม้จุไรจะมีอายุเพียงน้อยๆ คือย่างเข้า ๕ ขวบหรือ ๕ ปี เธอก็ชอบสวยชอบงามชอบทองคำเหมือนกัน แต่สิ่งที่เธอต้องการจะทราบอีก ก็คือเครื่องประดับ เช่นเพชรนิลจินดาเป็นต้น เธอก็มองไปมองมาว่าโลกนี้จะมีแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดาไหม
รวมความว่ามองไปไม่ไกลนัก ทางด้านส่วนสุดของด้านใกล้ความร้อน อยู่กลางๆของความร้อนไม่ร้อนจัดอุ่นมากๆแต่ค่อนข้างมีความร้อนคล้ายประเทศ ไทยในจุดนี้มีแก้วมาก แก้วมีหลายจุดเป็นย่อมๆอยู่ในความลึกหรืออยู่ในหินก็มีความลึกไม่มาก ตั้งแต่ผิวหินลงไปถึงส่วนลึกมาก แล้วมีบริเวณกว้างแก้วมีหลายสี แต่สีที่เธอต้องการรักมากก็คือหนึ่งแดงสยาม สีแดงเข้มจัดสวยงามมาก สีที่สองก็คือสีเหลืองเธอชอบมาก สีอันดับหนึ่งจริงคือสีน้ำมันก๊าดเป็นเพชร แพรวพราวระยับ อันนี้หาไม่ยากเลยดื่นดาษไปหมด เต็มบริเวณไปหมดเธอมองดูแล้วก็ชอบใจ
ต่อไปก็เดินไปใกล้เข้าจุดที่มีความสำคัญ นั่นคือแหล่งสำคัญจุดหนึ่งเห็นแร่ประเภทก่อน ที่มีความเป็นมันแล้วก็มีความสำคัญเป็นสภาพใส ภายในมีรังสีจัด พอเข้าไปใกล้ๆจุดหนึ่งซึ่งมีสภาพคล้ายๆกับจะมีเต้นท์หรือมีกระโจม แต่ว่ามีสภาพแข็งแรงมาก เข้าไปใกล้ก็พบวัตถุที่เรียกว่าเครื่องมือสำหรับขุด มีอยู่มากมายแล้วก็มีรถตีนตะขาบ มีเครื่องเจาะมีเครื่องตัด ร่องรอยแห่งการขุดการเจาะการตัดมีอยู่
จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมครูว่า คนในโลกนี้ไม่มี แต่ว่าวัตถุสำหรับคนจึงมี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า จุไรลูกรัก จงดูว่าเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า มีสีแดงเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าดูสีมีหนังสือที่เขาจารึกหรือตอกสลักไว้กับเครื่องมือมีไหม เธอก็บอกว่าร่องรอยของหนังสือมีแต่หนังสือที่ม่ใช่หนังสือไทย และก็ไม่ใช่หนังสือเยอรมัน เป็นร่องรอยแสดงว่าเป็นหนังสือ ก็ไม่ทราบว่าอ่านอย่างไร สมเด็จพระจอมไตรขึงตรัสว่า จุไรความเป็นทิพย์ของร่างกายมี ความเป็นทิพย์ของจิตก็มีคำว่า “ทิพย์” นี่แปลว่า “เล่น” ไม่มีอะไรหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำเหมือนเล่นๆอย่างที่ลูกจุไรต้องการจะลงมาโลกพระจันทร์ โลกพระอังคารก็ดี ก็มาแบบเล่นๆ นึกปั๊บถึงปุ๊บ
ในเมื่อเห็นภาพร่องรอยขีดเขียนแสดงว่าเป็นตัวหนังสือ ถ้าอยากจะทราบก็ควบคุมกำลังใจคิดว่าหนังสือเขาเขียนว่าอย่างไร จุไรก็ทำใจตามที่ท่านสั่งรวบรวมกำลังใจ ก็ทราบว่าหนังสือเขาเขียนว่า “สูตู” จึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าคำว่า “สูตู” หมายความว่าอะไร ท่านก็ตอบว่าคำว่า “สูตู” นี่เป็นโลกๆหนึ่งหรือเป็นดาวดวงหนึ่ง ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย หรือของโลกก็แล้วกัน ดาวดวงนี้ถ้ามองไปที่ดาวกัลปพฤกษ์ หรือดาวกระพริบของบรรดาคุณยายทั้งหลายเรียกว่า “ดาวกระพริบ” ถ้าตามศัพย์หนังสือเขาเรียกว่า “ดาวกัลปพฤกษ์” สว่างมาก
มองไปที่ดวงดาวนี้แล้วมองไปที่เบื้องสูง จะเป็นจุดเล็กๆไกลๆดวงดาวเล็กๆ มองดูจากประเทศไทยด้วยตาเปล่าเห็นไม่ถนัดนัก ดาวดวงนั้นเขาเรียกว่า “ดาวสูตู” เพราะเป็นประเทศๆหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า “สูตู” ถ้าจะเรียกโลกทั้งหมดในสูตูว่าเป็นสูตูทั้งหมดก็ไม่ได้ ประเทศที่มีความสำคัญจริงๆก็คือ “สูตู” ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เก่งกาจมาก ในโลกชมภูคือโลกที่เราอยู่นี้ ยังไม่มีความสามารถเท่าเขา
ฉะนั้นเครื่องมือนี้ ต้องเป็นเครื่องมือของชาวโลกสูตู ที่มาขุดเอาแร่นี้ไปใช้เป็นประโยชน์ เธอถามว่าเขาใช้ประโยชน์อะไรบ้าง ท่านก็ตอบว่า เอาไว้วันเวลาเข้ามาถึงเราไปกันที่โลกนี้ จะได้ทราบว่าเขาใช้อะไรบ้าง ต่อมาเธอก็ดูต่อไปทิศทางไม่ต้องบอกกันนะ
เธอดูไปรอบๆเห็นแร่ทองขาวซึ่งมีความสำคัญ มาก ที่เขาถือว่ามีค่ามากกว่าทองคำ แต่ก็ไม่เห็นมีใครนิยมใช้กัน ใช้ทองคำเป็นสำคัญ เครื่องรองรับการเงินก็ใช้ทองคำเขาไม่ใช่ทองขาว รวมความว่าทองขาวก็มีมาก แร่เงินก็มีมาก แร่เหล็กที่มีความแกร่งกว่าธรรมดาที่มีอยู่ในโลกเราก็มีมาก แล้วก็มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งมาก ทนต่อการเสียดสี แร่ประเภทนี้มีตื่นทางด้านทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จากทิศเหนือไปถึงทิศตะวันออกเป็นพืดเต็ม
แร่ประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า ถ้ามนุษย์อยากจะไปดวงพระอาทิตย์ ถ้าเขาใช้แร่ประเภทนี้เป็นยานพาหนะ ใช้ความหนาของเปลือกพอสมควร แร่นี้จะทนการเสียดสีในอากาศและก็ทนความร้อนได้มาก กระแสดวงอาทิตย์ไม่สามารถจะทำลายแร่นี้ได้ คือไม่สามารถละลายแร่นี้ได้ มีความแข็งมากใช้แต่แร่นี้ โดยเฉพาะเข้าไปในดวงอาทิตย์ สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด แล้วสิ่งที่มีชีวิตที่นั่งอยู่ในนั้นก็จะตายหมด เพราะความร้อนสูงขอลูกรักจงดูต่อไป
ในช่วงด้านใกล้ปลายของโลกพระอังคาร จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ใกล้ปลายโลกอังคารนี่ร้อนจัดมีความร้อนมาก จะมีแร่อีกประเภทหนึ่งมองดูเผินๆคล้ายสีตะกั่ว เกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มโตมาก ตั้งแต่ช่วง ๑ ใน ๔ ตอนปลาย วัดหายไป ๓ เหลือ ๑ ใน ๔ ช่วงตอนบนของโลกพระอังคารถึงปลายโลกพระอังคาร ส่วนในซีกตั้งแต่ในทิศตะวันตกถึงทิศเหนือ บริเวณกว้างถึงปลายโลกพระอังคารนี่มีความร้อนสูง แต่ว่าจะมีแร่ประเภทนี้อยู่หนามาก
แล้วก็แร่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่า มีความสำคัญคือสามารถขจัดความร้อนให้สะท้อนกลับได้ ซึ่งเป็นศัตรูกับความร้อน นั่นก็หมายความว่าถ้าเขาทำจรวดด้วยแร่ที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น แร่ประเภทนี้บอกชื่อไม่ได้นะเพราะชื่อไม่เหมือนภาษาไทย ทำจรวดประเภทนั้นแล้วก็เอาแร่ประเภทนี้เคลือบข้างในให้หนา ไม่ต้องเคลือบข้างนอกๆปล่อยให้ร้อน แต่เคลือบข้างในให้หนา ความร้อนถึงแร่ประเภทนี้แล้วจะสะท้อนกลับ
เป็นอันว่าเครื่องจักรกลทั้งหลายที่อยู่ภายในก็ดี สิ่งที่มีชีวิตก็ดีอยู่ภายในจรวดนั้นจะไม่มีอันตราย จะไม่มีความร้อนสูง ความร้อนจะเข้าไปถึงไม่เกิน ๒๐ องศา ก็อยู่ในเกณฑ์หนาว ท่านบอกว่าถ้าคนมีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปใช้กับจรวดทาภายใน ก็สามารถจะไปโลกพระอาทิตย์ได้ แต่ปัญหามีอยู่ว่าการผ่านกระแสไฟภายในดวงอาทิตย์ ซึ่งมีรังสีจัดมากแล้วก็มีความสำคัญมาก อันนั้นคนจะต้องมีความสามารถสร้างเครื่องป้องกัน โดยเฉพาะเสื้อหุ้มห่อร่างกายไม่พอ เพราะว่าถึงแม้จะมีอ๊อกซิเจนสูบก็ไม่พอนัก ต้องมีแร่ชนิดหนึ่งสามารถดูดรังสีเมื่อรังสีผ่านมาดูดเข้าไปเลย เก็บรังสีนั้นไว้ภายในหรือว่ารังสีนั้นถูกทำลาย ในเมื่อเข้าไปใกล้รังสีเข้าไปใกล้ประมาณสัก ๔ กิโลเมตร จะถูกทำลาย อากาศช่วงนั้นจะเป็นอากาศดี หรือว่าไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต
แร่ประเภทนี้ท่านบอกว่ามีข้างหน้าโน้น มองหันหน้าไปทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ ด้านขวามือมองไปด้านเหนือแร่ประเภทนี้จะมีอยู่ดื่น สำหรับสีของแร่ประเภทนี้บางส่วนจะเห็นเป็นสีแดง บางส่วนจะเห็นเป็นสีเหลือง บางส่วนจะเห็นเป็นสีขาวแต่ว่าไม่ชัดเจนนัก ทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจนคละกันมีสีผสมกัน ปนกันไปปนกันมา แร่ประเภทนี้มีความแข้งพอสมควรแข็งมากกว่าหิน
จุไรจึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า คนที่มีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปมีอยู่หรือไม่ ท่านตอบว่า คนที่มีความสามารถอาจจะมี แต่คนที่ได้แร่นี้ไปยังไม่มี ฉะนั้นเวลานี้ยังไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้ ต่อมาก็เดินต่อไปทางด้านทิศเหนือคลำไปคลมา เดินใกล้ช่วงขั้วบนเข้าประมาณ ๕๐ % ของดวงดาว
ตอนนี้ก็เจอะเครื่องมืออีกชุดหนึ่ง ไกลกันมากจากชุดก่อน ถ้าวัดเป็นกิโลเมตร ก็เกินแสนกิโลเมตร ก็มาเจอะอาการต่างๆเหมือนกันคือ
๑. กระโจมทำเหมือนกับกระโจมเป็นโรงเก็บ
๒. วัตถุเจาะ
๓. เครื่องรถตีนตะขาบ
ทั้งหมดทั้งสองจุดเหมือนกันมีสภาพเหมือนเคลือบ เหมือนกับมีการเคลือบเพื่อป้องกันการสลายตัว หรือว่าทำให้แข็งแม้แต่ผ้าใบก็ไม่เหมือนผ้าใบธรรมดา มีสีเป็นเคลือบหนามาก เข้าใจว่าเขาจะเคลือบให้แข็งและเหนียว ป้องกันรังสีที่จะเข้าไปไหม้
เมื่อเข้าไปดูแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสถามว่า ลูกรักเห็นไหมว่าสีสันวรรณของเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า เป็นสีเขียวเจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่า มีหนังสือไหม เธอมองไปก็เห็นตัวหนังสือชัดเจน แต่อ่านไม่ออก ท่านก็ทวนคำว่า “ทิพย์” กับจิตให้เกิดขึ้น ให้มีความเข้มข้นกว่าก่อนให้เหมือนกับเห็นภาพมาแล้วว่า เราต้องการทราบว่า หนังสือนี่เขาเขียนว่าอย่างไร ใจจะบอกเพราะคำว่า “ทิพย์” แปลว่า “เล่น” ไม่มีอะไรยาก
เธอก็ทำตามนั้นความรู้สึกบอกว่าหนังสือ “จามร” ก็กราบทูลพระองค์ว่า หนังสือเขียนว่า “จามร” พระเจ้าข้า ท่านก็ถามว่า จุไรลองเอาจิตเข้ารับทราบว่า จามร อยู่ที่ไหน เธอก็ทำตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัส คิดว่าจามรอยู่ที่ไหนภาพจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ก็เห็นภาพดวงดาว ๒ ดวงขนานกัน คือดวงแรกใหญ่มาก ที่เห็นชัดเวลาที่อยู่ในโลกมนุษย์ จำได้ว่านั่นคือดวงดาวพระศุกร์ อยู่ทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ เวลากลางคืนแล้วก็มี ดวงดาวเล็กอยู่เหนือดาวพระศุกร์ขึ้นไปมองอยู่สูงกว่ากันมากจากดาวพระศุกร์มี แสงระยิบแต่ว่าเห็นใกล้กว่าดาวสูตู อันนี้เรียก “ดาวจามร”
จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เห็นดวงดาวเล็กๆพระเจ้าข้า เรียกว่า “ดาวจามร” สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ถามต่อไปว่า ดูสิลูกว่าจามรดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตไหม เธอดูปั๊บก็ทราบทันทีว่ามีสิ่งมีชีวิต มีประเทศชาติหลายประเทศ มีความรุ่งเรืองมากแล้วก็มีความฉลาดทางวิทยาศาสตร์มาก มีความสามารถพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมเชษฐ์ก็ตรัสว่า เธอลองดูสูตู สิ สูตู เขามีความสามารถเท่าจามรไหม เธอก็มองดูอยากจะทราบสูตู ภาพก็ปรากฏชัด ก็มีความรู้สึกทางภาพเห็นว่า สูตูก็ดี จามรก็ดี มีความเชี่ยวชาญไม่แพ้กัน
องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสถามว่า ดูรูปร่างของคนที่อยู่ในโลกของจามรกับสูตูสิ มีรูปร่างคล้ายกันไหม เธอก็บอกว่า ไม่คล้ายกันเจ้าค่ะ จามรคล้ายคนไทย ไม่สูงใหญเหมือนฝรั่ง แล้วก็ไม่มีท่าแข็งแกร่งเหมือนแขก ท่าทางนิ่มนวลมีความเยือกเย็น จิตมีความเมตตาสูง ความดุร้ายไม่มี ผิดกับสูตูๆมีภาพแปล่ง จามรมีผิวบางละเอียด สูตูมีผิวดำแต่ผอมเกร็งๆสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงก็ไม่สวย ก็ดูแขกก็แล้วกัน ผิวแขกท่าทางเหมือนแขกเกร็งๆหน้าเหี้ยม ท่าทางดุ
แล้วท่านก็ถามว่าจงดูจริยาคน ๒ ประเทศ หรือ ๒ โลก จะเหมาทั้งโลกก็ไม่ได้ ทั้งโลกเขาก็มีดีบ้าง มีจิตใจเป็นสุขก็มี มีจิตใจเมตตาก็มี นี่ว่ากันเฉพาะโลกเฉพาะประเทศในโลกมนุษย์ ก็มีบางประเทศที่มีความเหี้ยม มีทั้งความเห็นแก่ตัว โลกทั้ง ๒ โลกนี้จงดูว่า ใครมีความเข้มข้นของความเหี้ยมมากกว่ากัน จุไรก็บอกว่า สูตู เจ้าค่ะ
ก็รวมความว่าหันกลับมาโลกพระอังคารกันใหม่ เวลามันใกล้จะหมดลูกหลานทั้งหลาย ถ้าเราเที่ยวโลกพระอังคารกันจนจบ เข้าใจว่าไม่จบแน่ ก็มองดูผิวโลกต่อไปว่า ผิวโลกพระอังคารนี้สีจริงเป็นสีอย่างไร รวมความว่าเบื้องบนขาวมีสภาพเป็นหิน แล้วก็มีรังสีสูง รังสีหนากว่าโลกพระจันทร์ เป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิต แต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า จุไรลูกรักอันตรายมีจริงสำหรับรังสี แต่ว่าคนที่มีความสามารถเหนือกว่ารังสีมีอยู่
จุไรถามว่าคนที่ว่านี้ ในประเทศสูตูหรือจามร สมเด็จพระชินวรก็ตรัสว่าทั้ง “สูตูและจามร” เขามีความสามารถเกินกว่ารังสีจะทำอันตรายเขาได้ เฉพาะนักวิทยาศาสตร์ และเฉพาะโลกชมภูเวลานี้ก็ตรัสว่า ประเทศหนึ่งที่สามารถชนะรังสีนี้ได้นานแล้ว เขาชนะรังสีนี้ได้ไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี ล้วก็มาถึงโลกพระอังคารนี้แล้วเงียบๆไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี อาจจะเกินนั้น นั่นคือ “ชาวเยอรมันตะวันตก”