“...... ลำดับนั้น จึงมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งทรงพระนามว่า
พระศรีอาริยเมตไตรย์
เสด็จลงมาจากดุสิตสวรรค์ มาบังเกิดในเมืองเกตุวะดีศรีมหานคร
พระบิดรทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์
พระมารดาชื่อว่า พรหมวดีพราหมณี
พระชนมายุพิธีคือ อายุของพระองค์ได้ 8 หมื่นปี
อันว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์นี้ เมื่อได้ตรัสในโลกนี้แล้วก็เป็นมหายศอันใหญ่ยิ่งแก่มหาชนทั้งหลาย อันได้บังเกิดในศาสนาของพระองค์
ครั้นจุติจากมนุษย์โลกนั้นแล้วก็ได้บังเกิดใน สวรรค์สุคติทั้งสิ้น
เพราะเหตุว่า เขาได้กระทำบุญให้ทาน
ได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
เขาได้สวดมนต์ภาวนา
ได้รักษาศีลเป็นนิจนิรันดร์
ให้รุ่งเรืองสุกใสในศาสนาของพระองค์
อนึ่ง คณนาพระบวรกายสูงได้ 80 ศอก เสด็จออกไปตรัสยังควงไม้กากะทิง อันสูงตั้งแต่พื้นแผ่นดินขึ้นไปได้ 128 ศอก มีกิ่งงอกเป็นปัญจสาขา 5 กิ่ง กิ่งหนึ่งยาวได้ 128 ศอก มีใบฤดูดอกออกเป็นกงจักร เกสรหล่นเดียรดาษวันละ 5 ทะนาน มีกลิ่นรสหอมหวานมิรู้วาย
ด้วยเดชบารมีพระบรมโพธิสัตว์ เมื่อยังมิได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์เสวยรมย์สมบัติอยู่ในคฤหัสน์เพศได้ 4 หมื่น
มีพระอัครมเหสีเอกชื่อว่า พระจันทมุขีเป็นประธาน แก่นางนักสนมนารีทั้งหลาย 7 แสน เป็นบริวาร โฉมพระจันทมุขีนั้นเป็นที่แสนเสน่ห์แห่งพระบรมโพธิสัตว์เป็นที่สุด
จึงมีพระราชบุตรพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร
แล้วพระองค์ทรงพิจารณาเห็นพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา จึงเห็นเวทนาในสงสาร พระองค์จึงทรงสละเมียในเที่ยงคืนสงัด ตรัสเรียกให้ผูกม้าแก้ว แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นหลังม้าแก้วอัศดร ออกจากนครไปยังแม่น้ำอ้นดาษมหานที
ฝ่ายพระนางจันทมุขีเทวีได้เอาข้าวมธุปายาศใส่ถาดยกออกไปถวายแก่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงฉัน แล้วเสด็จขึ้นนั่งเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์
พระองค์ทรงอธิษฐานสุวรรณถาดทอง ให้ลอยขึ้นเหนือน้ำได้ 40 ศอก ถาดนั้นก็กลับกลอกฉวัดเฉวียนอยู่ไปมา แล้วถาดนั้นก็ดังเสียงตะละหนึ่งฟ้าร้อง
อันว่าฝูงเทพยดาทั้งหลายก็อัศจรรย์หวั่นไหวอยู่ไปมา ทั้งนางพระธรณี คงคาก็มาตีฆ้องร้องป่าวอยู่ไปมา ทั้งเขาสุเมรุภูผา ก็มาเอนอ่อนระทวยทอด ท้าวพระยานิกรทั้งหมดก็เอาดอกไม้ชูสลอนอยู่เฉิดฉับ ฉาย ย่อมเรี่ยรายถวายแล้วก็บูชา ฝูงสัตว์ฝูงคนก็เกลื่อนกลาดอยู่ไปมา เทวดาทั้งหลายก็พากันโปรยปรายเงินทองเป็น ข้าวตอกดอกไม้
บางหมู่ก็ยกมือไหว้บูชา พากันชื่นชมพระบรมโพธิสมภาร
ทั้งพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ นกหกทั้งหลายก็มาร่ำร้อง ถวายเสียงอยู่บนอากาศ บางหมู่ก็บินโผนผาดไปจับยอดเขา บางหมู่นั้นเล่าจับฝั่งคงคา ฝูงสัตว์ทั้งหลายมากมายนักหนา ชักชวนกันมาชมโพธิสมภาร
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ได้ตรัสข้ามสงสาร ได้ตรัสแล้วมินาน
เดชะบารมีสัจจาธิษฐาน ถาดนั้นก็ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมเนียมพระพุทธเจ้ามา สร้างโพธิสมภารแต่ก่อนมาทุก ๆ พระองค์ ถาดนั้นก็ลอยล่มจมลงไปยังเมืองพระยานาคพิภพ
ท้าวเธอจึงยกถาดกกุสันโธขึ้นไว้แล้ว เธอจึงยกถาดพระพุทธโกนาคมขึ้นไว้อีกเล่า เธอจึงยกเอาถาดพระพุทธกัสสปขึ้นไว้อีก เธอจึงยกเอาถาดพระศิริศากยมุนีโคดมขึ้นอีกเล่า ถาดทั้งสี่นั้นกระทบกันได้ยินลงไปในเมืองพระยานาคราช
นาคราชเธอจึงตื่นขึ้นจากหลับแล้วออกอุทานว่า โอ....... เมื่อวานนี้ได้ตรัสองค์หนึ่งแล้ว มาวันนี้ก็ได้ตรัสอีกองค์หนึ่งเล่า โอโลนเกนโต............... ก็เล็งแลดูถาดทั้ง 4 ซ้อนกัน อยู่เหนือถาดพระศรีอาริยเมตไตรย์
เทวดาทั้งหลายเอาข้าวตอกดอกไม้มาถวายบูชา พระพุทธเจ้าก็ตรัสพระธรรมเทศนา
แลบุคคลผู้ใดได้เล่าเรียนเขียนอ่านในพระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ก็จะได้อานิสงส์ส่งให้ผู้นั้นได้บรรลุแก่โสดา
ผู้ใดได้ก่อกรรมกระทำมา ตั้งแต่น้อยจนใหญ่ก็จะหายหมดสิ้น
ครั้นจุติจากมนุษย์โลกแดนดิน
ก็จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นเที่ยงแท้
ถ้าแลบุคคลใด ได้กำลังอำนาจแห่งศีลนี้
ประมาณได้หมื่นโยชน์ก็ดี
ศีลนี้ย่อมหอมไปตามลม
ถึงที่จะแกล้วกล้าจึงบ่ายหน้าพากาย
หลีกลัดออกจากวัฏสงสาร
ในกาลหนึ่งแล ศีลนั้นก็ย่อมหอมฟุ้งขจรทวนลมขึ้นไป
ศีลหนึ่งเล่าไซร้ ศีลนั้นย่อมหอมฟุ้ง
อุตสาหะสมาทานศีล 5 ประการ ศีล 8 ประการ
ใต้ลมเหนือลมตลอดแล่นถึงแดนมนุษย์
พรหมต่าง ๆ นานา
ก็จะบ่ายหน้าเข้าสู่นัคเรศ
ประเทศเมืองแก้ว
กล่าวแล้วคือพระนฤพาน........”
พระศรีอาริย์โพธิสัตว์เสด็จนมัสการพระจุฬามณี
ครานั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย์
หน่อเนื้อพุทธางกูรบรมโพธิสัตว์
คือพระบรมโพธิสัตว์ผู้จะจุติ
มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
ขณะที่ท่านเสวยทิพยสมบัติอยู่ในเทวโลก ชั้นดุสิตครั้นถึงเทศกาลวันไหว้ พระจุฬามณีเจดียสถาน ณ สถานที่บรรจุพระมวยผมและพระเขี้ยวแก้ว แห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์จึงทรงเครื่องสรรพาภรณ์บวรวัตถาการวิภูษิต อันวิจิตรรูจีรุ่งเรือง ระยับจับทั่วพระอินทรีย์
มีหมู่เทพอัปสรนิกร คือ เหล่านางฟ้าแน่งน้อยอนงค์นาถ ซึ่งเป็นชาวสวรรค์ แวดล้อมเป็นเกียรติยศ บริวารประมาณแสนโกฏิ มีรัศมีเรืองโรจน์โชตินาการ ประหนึ่งดวงจันทร์เพ็ญอันเปล่งรัศมีดั่งหมื่นดวง อุปมาดุจปริมณฑลดวงจันทร์ในวันเพ็ญฤดูเดือน 12 ปราศจากเมฆหมอกราคี
เหล่าเทพอัปสรที่ไปในเบื้องหน้า
สองหมื่นห้าพันโกฏิ
มีรัศมีและทรงทิพย์ภูษาล้วนขาวสะอาด
ส่วนเทพอัปสรที่ตามมาในเบื้องหลัง
สองหมื่นห้าพันโกฏิ
ล้วนมีรัศมีและเครื่องทิพย์ภูษา
ล้วนสีม่วง แกมแดงละลานตา
ส่วนเทพอัปสรที่ตามมาโดยเบื้องขวา
สองหมื่นห้าพันโกฏิ
มีรัศมีและทรงเครื่องภูษาทิพย์
ล้วนสีเหลือง อร่ามงามเย็นตา
และทวยเทพอัปสรที่ตามมาโดยเบื้องซ้าย
สองหมื่นห้าพันโกฏิ
มีรัศมีและทรงเครื่องทิพย์ภูษา
ล้วนสีแดง แรงฤทธิ์
อันว่า พระบรมโพธิสัตว์ ศรีอาริยเมตไตรย์
เสด็จมาในท่ามกลางแห่งหมู่นาง
เทพอัปสรกัญญา ทั้งแสนโกฏินั้น
อุปมาเหมือนดวงจันทร์ที่เลื่อนลอย
อยู่ท่ามกลางแห่งหมู่ดารา
อันว่า ทิศานุทิศทั่วท้องนภากาศ
ย่อมรุ่งเรือง รุ่งโรจน์ไปด้วยรัศมีสว่างไสว
ออกไปไกลถึงสิบโยชน์
อุปมาเหมือนรัศมีดวงจันทร์ส่องสว่างไปได้
นับด้วยโกฏิ ในท่ามกลางอากาศ
ยังดาวดึงส์พิภพให้สว่างด้วยรังสี
หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพย์สุคนธ์วิเลปนบุปผา
มาลัยหลากสีนานาประการ
อานิสงส์ถวายผ้าสีต่าง ๆ และนุ่งห่มผ้ารักษาศีล
นางเทพอัปสรที่มีทิพย์ภูษาขาวสะอาด ที่ห้อมล้อมมาในเบื้องหน้า ท่านว่ากาลเมื่อนางอยู่ในมนุษย์โลก ได้ทำบุญถวาย เครื่องปัจจัยไทยทานอันเป็นสีขาวและพอใจในสีขาว
แม้วันถืออุโบสถศีลก็นุ่งห่มสีขาว
ทำบุญด้วยสิ่งของที่เป็นสีขาว
เพราะนางเห็นว่า สีขาวเป็นสีบริสุทธิ์
สะอาดตางามใจ สมดังพระพุทธฎีกาตรัสว่า
อันประเพณีนักปราชญ์ ชาติสัตบุรุษทั้งหลาย
เป็นผู้ประกอบด้วย หิริ โอตตัปปะ
คือมีความละอายต่อบาป
และความสะดุ้งกลัวต่อบาป
มีจิตตั้งมั่นอยู่ในสุกธรรม
อันมีสภาวะขาวบริสุทธิ์ คือ ศีลอุโบสถ
ถามว่า จำเป็นด้วยหรือ การทำบุญ รักษาศีลจะต้องนุ่งขาวห่มขาวเสมอไป หรือมีประเพณีตระเตรียมอะไร ?
ตอบว่า ไม่จำเป็นเสมอไป จะนุ่งห่มสีอะไรก็ได้ แต่การนุ่งขาวห่มขาวรักษาสมาทานศีลอุโบสถนั้น เป็นการแสดงถึงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ประพฤติพรหมจรรย์อันประเสริฐ
หากเตรียมตัวไม่ทันไม่พร้อมก็นุ่งห่มสีใด ๆ ก็ได้ แต่ถ้ามีศรัทธา ปสาทะจริง ต้องตระเตรียม คือ ต้องรู้ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันธรรมสวนะ วันอุโบสถ ควรละกิจถึง พุทธาธิคุณ เป็นต้น เจริญทาน ศีล ภาวนา ถ้าปฏิบัติดังนี้ ศีลอุโบสถ ย่อมมีอานิสงส์มากแล
อานิสงส์การถวายของเหลืองเป็นต้น
ส่วนนางฟ้าที่แต่งกายด้วยสีเหลืองทิพย์ เนื่องเพราะในเมื่อยังอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ถึงวันอุโบสถได้ทำบุญด้วยสิ่งของล้วนมีสีเหลืองเป็นจำนวนมาก แม้จะถวายและบูชาพระ ก็ถวายด้วยดอกไม้สีเหลือง ผ้าสีเหลือง เป็นต้น
สำหรับนางฟ้าที่แต่งกายด้วยสีแดง อาศัยที่เมื่อครั้งอยู่ในโลกมนุษย์ ชอบถวายปัจจัย เครื่องไทยทานที่มีสีแดง แม้เข้าสู่โรงธรรม สมาทาน รักษาศีล ก็ทำด้วยวัตถุสีแดง ด้วยเจตนากุศลนั้น จึงเป็นผลานิสงส์ ส่งให้นางทั้งหลายมาบังเกิด เป็นยศบริวารพระบรมโพธิสัตว์ มีรัศมีกายสีแดงเช่นนั้น
อนึ่ง อันหมู่นางฟ้าทั้งหลาย
ที่ห้อมล้อมมาตามหลังนั้น
สมัยที่อยู่ในโลกมนุษย์
ชอบและพอใจในสีม่วง สีแดง สีลาน
เมื่อทำบุญสร้างกุศล ถวายทานก็พอใจในสีดังกล่าว
นางเทพอัปสรทั้งหลายทั้งมวลดังกล่าวมานั้น ล้วนแต่เป็นอุบาสิกาที่เคยสมาทานรักษาศีล 5 ศีล 8 อันชื่อว่าเป็นนิตยศีลและอุโบสถศีล พร้อมกับเคยบำเพ็ญกุศล ถวายทานจำแนกแจกจ่ายทรัพย์สิ่งของ แด่สมณ ชีพราหมณ์ ตลอดจนบุคคลผู้ตั้งมั่นยึดมั่นอยู่ในกุศลกรรมมาแล้วเป็นอย่างดี ด้วยผลานิสงส์แห่งกุศลกรรมนั้น จึงส่งให้ไปเกิดเป็นยศบริวารแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า
กุศลกรรมอันใดจึงมีนางฟ้าถึงแสนโกฏิ
อันว่า สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย์ ได้เสวยทิพยสมบัติมากมาย มีสภาวะเห็นปานนั้น เนื่องจากพระองค์ได้สร้างกุศลบุญ บำเพ็ญเพียร รักษาศีลมาแล้วในอดีตชาติมากมาย สุดวิสัยเหลือปัญญาความสามรถที่จะพรรณนาให้สิ้นถ้อยกระบวนความได้ ท่านอุปมาดุจหนึ่งว่า กระต่ายตัวน้อย เอาขาหยั่งวัดความลึก ตื้นของท้องมหาสมุทร ทะเลหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งปริมาณลึกได้ 84,000 โยชน์
พบพระมาลัยที่จุฬามณี
ตามปรกติพระศรีอาริย์จะเสด็จมาไหว้พระจุฬามณีในวัน 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ คราหนึ่งเป็นวันพระ 8 ค่ำ ได้พบปะกับพระมาลัยเถระที่นำดอกบัว 8 ดอกมาถวายบูชาพระจุฬามณี เมื่อเสร็จการบูชา พระศรีอาริย์ได้เสด็จมานมัสการพระมาลัยเถระแล้วถามว่า
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ชาวชมพูทวีปเขาทำบุญให้ทาน เขาตั้งความปรารถนาเป็นประการใด”
“ ขอถวายพระพร เขาตั้งปณิธานมีความปรารถนาจะขอพบพระองค์ เมื่อจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า” พระมาลัยตอบ
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ฝูงคนทั้งปวงแต่บรรดาที่ปรารถนาจะพบกับอาตมานั้น ขอให้อุตสาหะสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาพระเวสสันดรชาดกให้จบในวันเดียว พึงบูชาด้วยประทีปพันหนึ่ง ฉัตรพันหนึ่ง ธงพันหนึ่ง ดอกบัวหลวง ดอกอุบลเขียว ดอกผักตบ สิ่งละพัน เมื่อกระทำตามนี้ก็จะได้พบกับโยม”
“ ขอถวายพระพร อีกนานสักเพียงใด พระองค์จึงจะได้ตรัส” พระมาลัยถาม
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ในกาลเมื่อถ้วนห้าพันพระวัสสา สิ้นศาสนาพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สัตว์ทั้งปวงจะมืดมนนักไม่กระทำกุศลเลย มีแต่จะกระทำกรรมอันเป็นบาปหยาบช้า หาหิริโอตตัปปะมิได้ ดุจหนึ่งว่าไก่แลสุนัข ลูกกับแม่ก็จะอยู่กินเป็นสามีภรรยาแห่งกัน
ความโลภนั้นก็จะหนาขึ้น ๆ ส่วนอายุมนุษย์ก็จะถอยน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนผู้มีอายุเพียง 10 ปี 5 ปี ก็จะทำการวิวาห์อยู่กินเป็นผัวเมีย แลครั้งนั้นคนทั้งปวงจะแลเห็นกันเป็นเนื้อเป็นหมู จับอะไรเข้าก็จะกลับกลายเป็นอาวุธเข้าห้ำหั่นฟันแทงกัน
ส่วนคนดีมีปัญญา เมื่อรู้ว่าถึงวันนั้นคืนนั้นจะเกิดฆ่าฟันกันเป็นโกลาหล ก็จะหนีเร้นไปซุกซ่อนในห้วยในเขา รออยู่จนเห็นเขาฆ่าฟันกันตายภายใน 7 วันหมดแล้ว คนดีมีปัญญาที่ซ่อนเร้นอยู่ก็จะออกมาปรากฏตัว แสดงความชื่นชมยินดีต่อกัน แล้วรักษาศีล บำเพ็ญกุศล
เมื่อคนดีมีปัญญาเหล่านั้นมีลูก ลูกก็จะกลับมีอายุยืนขึ้นเป็น 20 ปี ครั้นหลาน ๆ ก็จะมีอายุยืนไป 30 ปี พอถึงเหลนก็เป็น 40 ปี และอายุยืนขึ้นตามลำดับจนถึงอสงไขย พอถึงระดับนี้คนก็จะเกิดความปรารถนาพอมีความประมาทอายุก็จะถอยน้อยลง คงอยู่ในระดับแปดหมื่นปี
ครั้งนั้นบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ป่าเขาลำเนาไพรเขียวชอุ่มสิ่งแวดล้อมดี ไม่มีคนบ้าใบ้หูหนวกตาบอด คนมีความเมตตาจิตแก่กัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ในกาลนั้นแหละเป็นเวลาที่โยมจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ”
เมื่อพระศรีอาริย์สรุปเรื่องที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว ก็นมัสการพระมาลัยเถระเสด็จไปประทักษิณพระจุฬามณี แล้วเสด็จกลับดุสิตพิมาน
ว่าด้วยเรื่องพระศรีอาริย์
ตามโองการนวกาพรหม นาม “ แม่กาเผือก”
แม่กาเผือกขอเป็นผู้กำเนิดแก่ “ พระ”
พญาสัตว์ทั้ง 5 ขอเป็นผู้เลี้ยงดู “ พระ”
เกิดผังพุทธศาสนา 5 พระองค์ดังนี้คือ
ไข่ฟองที่ 1 พญาไก่เป็นผู้เลี้ยงดู ยุคพฤกษชาติ
เป็น กาชาด ( กาชาติ )
คือ สร้างชาติ สำเร็จเป็นพระศาสนา “ กกุสันโธ”
โปรดแม่กาเผือกไม่ได้ ร้อง พุทโธ ๆ
ไข่ฟองที่ 2 พญานาคเป็นผู้เลี้ยงดู ยุคสร้างบ้านเรือนครอบครัว
เป็น กาตั้ง
คือตั้งบ้านเรือนถิ่นที่อยู่อาศัย รวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า โปรดแม่กาเผือกไม่ได้ ปัญหาคาใจไว้ สำเร็จเป็นพระศาสดา “ โกนาคมโน”
ไข่ฟองที่ 3 พญาเต่านำไปเลี้ยงดู เมื่อมีบ้านเรือน ประเทศชาติเกิดขึ้น ระเบียบวินัย กฎข้อบังคับเพื่อให้อยู่อย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียนกัน จึงเกิด
เป็นยุค กาสั่ง
และยังโปรดแม่กาเผือกไม่ได้ ได้แต่สั่งเรื่องราวไว้ที่กระดองเต่า สำเร็จธรรมเป็นพระศาสดา “ กัสสปะ”
ไข่ฟองที่ 4 พญาโคนำไปเลี้ยงดู
เป็นยุค กาสอน
คือสั่งสอนธรรมให้เหล่าเวไนย์ หลุดพ้นจากการวัฏจักรสงสาร และสอนเรื่องราวแม่กาเผือกให้องค์ต่อไปโปรด สำเร็จธรรมเป็นพระศาสดา “ พุทธโคดม”
พระศาสดาในภัทรกัปนี้ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาโพธิญาณ 84,000 พระธรรมขันธ์ องค์ละรอบเดียวเท่านั้น พระนามจึงยังไม่หลุดจากสามัญนามแห่งพญาสัตว์ที่เลี้ยงดูองค์ท่าน
ไข่ฟองที่ 5 พญาราชสีห์นำไปเลี้ยงดู
เป็นยุค กาศิต
คือประกาศิตโปรดแม่กาเผือก จะมาสำเร็จเป็นพระศาสดา
“ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ”
ในอนาคตกาลเบื้องหน้า และ ทำหน้าที่ปิดภัทรกัป คือนำพาเหล่าธาตุธรรมที่ยังโปรดไม่ได้ในยุค 4 พระองค์ก่อนเข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน
เนื่องด้วยพญาราชสีห์เป็นจ้าวป่า อยู่ด้วยการล่าและกินเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาหาร ได้เข่นฆ่าชีวิตสัตว์อื่นอยู่เป็นนิจสิน กรรมของพญาสัตว์จึงมีมากมาย
ยามเมื่อพญาราชสีห์นำฟองไข่ที่ 5 มาเลี้ยงดู เมื่อแตกออกมาเป็นพระมหาสัตว์ ให้พระนามว่า “ ระนัญชะโห พันธุกะ”
พระมหาสัตว์ระนัญชะโห ต้องเวียนว่ายตายเกิด สร้างพระบารมีอย่างวิริยะอุตส่าห์ เพื่อจะโปรดพระบิดาพันธุกะ คือ พญาราชสีห์คืนสู่ฝั่ง
สร้างบารมีสำเร็จธรรม 1 รอบ ก็ยังโปรดพระบิดามิได้ ด้วยพระมหาเมตตาเป็นที่ตั้งอย่างสูงสุด ที่จะโปรดพระบิดาพญาราชสีห์ให้ได้ จึงวิริยะสร้างบารมีต่อไป รอบที่ 2 รอบที่ 3 รอบที่ 4 ก็ยังโปรดพญาราชสีห์ไม่สำเร็จ พระมหาสัตว์ระนัญชะโหพันธุกะจึงเวียนสร้างบารมี นับอสงไขยไม่ถ้วนจวบจนถึง 16 อสงไขยแสนมหากัป พระองค์จึงสำเร็จธรรมในรอบที่ 5
ครานั้นพระมหาสัตว์ทรงขัดสมาธิเพชร์ บรรลุธรรมในรอบที่ 5 แจ้งประจักษ์แห่งธรรมว่า พระองค์ออกจากนามราชสีห์แล้ว ออกจากนามของสัตว์แล้ว จึงเรียกตัวเองว่า
พุทธองค์
“ เราไม่ใช่สัตว์ เราไม่ใช่บุคคล
ไม่ใช่เทพพรหม
เราคือพุทธองค์ ”
พระนามแห่ง พระระนัญชะโหพันธุกะ ก็หมดสิ้นไป
“ เราคือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ”
จึงนับได้ว่าในภัทรกัปนี้
องค์พุทธที่ 5 คือ พระศรีอาริยเมตไตรย์
เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
ที่สามารถบำเพ็ญบารมี
จนบรรลุธรรมออกจากสามัญนามแห่งสัตว์
มูลเหตุที่พระศรีอาริย์จุติ
พระศรีอาริยเมตไตรย์ต้องจุติหรืออวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในระหว่างท่ามกลางพระพุทธศาสนา ก็เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้
1. เหตุด้วยกรรมวิบาก ( เรื่องอธิษฐานบัวบารมี ) ที่พระศากยมุนีพุทธโคดมกับพระศรีอาริยเมตไตรย์ ได้สร้างผูกกรรมกันมาในอดีตชาติ
2. เหตุด้วยจะสนธิศาสนาพระพุทธโคดม กับพระเมตไตรย์เจ้าให้สัมพันธ์สืบต่อไปในอนาคต
3. เหตุด้วยจะสะสางฟองไข่ศาสนา 5 พระองค์ แห่งโองการนวกาพรหมนามแม่กาเผือก แห่งภัทรกัปนี้ เพื่อให้ชาวโลกได้รู้แจ้ง
4. เหตุด้วยจะบำราบปราบอธรรม คือ คนชั่วร้าย ให้กลับตัว และวางศีลธรรมอันวิเศษให้แก่โลกใหม่
5. เหตุด้วยการสะสางความถูกผิด แห่งพุทธศาสนา ให้เข้าสู่ยุคเที่ยงตรงและเที่ยงธรรม ต้นดอก-ผลบุญ ส่งผล ให้คนทำดีได้ดี คนทำชั่วได้ชั่ว
6. เหตุด้วยจะชำระความมัวหมองของบรรดาพุทธ บริษัท ซึ่งกำลังเสื่อมชำรุดหรือกิ่วคอดเหมือนคอสากอยู่นี้ เปิดโลก และเปิดธรรม ให้ถูกมรรค ถูกผล ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว
7. เหตุด้วยเพื่อโปรดแม่กาเผือกให้คืนสู่ฝั่งพระ นิพพานให้สำเร็จ
8. เหตุด้วยจะสงเคราะห์ฝูงมนุษย์ผู้ยากไร้อนาถา ด้วยสมบัติบรมจักรเพื่อความอุดมสมบูรณ์พูนสุขด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคสม่ำเสมอกัน
9. เหตุด้วยเพื่อรวมศาสนจักรเข้าเป็นหนึ่งเดียวให้ ทั่วทั้งโลกพบสันติสุขที่แท้จริงด้วยรัก-สันติ-สามัคคี ให้ชาวโลก
กายเจริญอริยะ-จิตเจริญเมตตา
10. เพื่อโปรดสรรพสัตว์เหล่าธาตุธรรมทั้งหลายทั้ง ปวงที่ยังตกค้างอยู่ เข้าสู่งานกัลปพฤกษ์แดนนิพพานก่อนที่จะถูกมหันตภัยพิบัติกวาดล้าง
พงศาธรรม
1. พระเตสะพุทธเจ้า ลงเกิดทิศใต้
ธรรมกาล 6,000 ปี
2. พระปุสสะพุทธเจ้า ลงเกิดทิศเหนือ
ธรรมกาล 4,800 ปี
3. พระวิปัสสีพุทธเจ้า ลงเกิดทิศตะวันออก
ธรรมกาล 3,720 ปี
4. พระสิกขีพุทธเจ้า ลงเกิดทิศตะวันตก
ธรรมกาล 7,080 ปี
5. พระเวสสันภูพุทธเจ้า
ลงเกิดทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธรรมกาล 5,284 ปี
ภัทรกัป (กัปแห่งความเจริญ)
6. พระกกุสันโธพุทธเจ้า
ลงเกิดทิศตะวันออกเฉียงใต้
ธรรมกาล 5,516 ปี
7. พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
ลงเกิดทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ธรรมกาล 5,800 ปี
8. พระกัสสปพุทธเจ้า
ลงเกิดทิศตะวันตกเฉียงใต้
ธรรมกาล 1,500 ปี
9. พระสมณโคดมพุทธเจ้า
ลงเกิดมัธยมประเทศ
ธรรมกาล 3,000 ปี
พระพุทธเจ้าในอนาคตแห่งภัทรกัปนี้คือ
10. พระศรีอาริยเมตไตรย์พุทธเจ้า
ลงเกิดสุวัณณภูมิ
ธรรมกาล 10,800 ปี
( ตรัสรู้ภายใต้ต้นนาคะ (กากะทิง) จึงมีชื่อ
พุทธเกษตรว่า นาคประทีปภัทรพุทธเกษตร )
แผนที่รูปดอกบัวของสุวัณณภูมิจะเป็นแผ่นดินเกิดของพระศรีอาริย์ในเบื้องหน้า ตามปรมัตถ์นามแห่ง โลกบัวบานสันติ ของชาวศิวิไลซ์ที่แท้จริง
สำหรับโลกในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ปรมัตถ์แห่งนามว่า สหัสสโลกธาตุ คือโลกธาตุที่เต็มไปด้วยทุกข์ภัย ผู้คนจึงได้มรรคผลน้อย ( 1 ส่วน ) ไปตกนรกเสียส่วนมาก ( 3 ส่วน )
อายุธรรมกาล นับจากการโปรดสัตว์ออกบวช หมายถึงมีพระสงฆ์ผู้ครองผ้าเหลือง ซึ่งถือว่า เป็นหนึ่งในพระไตรรัตน์ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เมื่อไม่มีพระสงฆ์ครองจีวรเมื่อไร พระรัตนตรัยก็ไม่ครบองค์สาม ฉะนั้นอายุธรรมกาลจึงสิ้นสุด ถึงแม้จะเหลือ พระพุทธและพระธรรมให้ทรงคุณอยู่ จนหมดเขตอายุพุทธกาล
พระศรีอาริย์โปรดสัตว์ 3 กาล
นับตั้งแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าปรินิพพานให้หลัง ไปแล้ว 5,670,000,000 ปี ( ห้าพันหกร้อยเจ็ดสิบล้านปี ) จะถึงกาลที่พระศรีอาริย์จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แสดงธรรมโปรดสัตว์ 3 กาล คือ
1. ปฐมกาล โปรดเวไนย์ ผู้ถือศีล 5 ที่ตกค้างจากองค์
พุทธที่ 4 จำนวน 9,600,000,000
( เก้าพันหกร้อยล้านคน )
2. มัธยมกาล โปรดผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จำนวน
9,400,000,000 ( เก้าพันสี่ร้อยล้านคน )
3. ปัจฉิมกาล โปรดผู้ที่ภาวนาพระนามพระพุทธเจ้า
ด้วยเอกจิต จำนวน 9,200,000,000
( เก้าพันสองร้อยล้านคน )
พระศรีอาริย์ยุคก่อนกึ่งพุทธกาล
เอกัง สะมะยัง.......สมัยหนึ่งที่สมเด็จพระชินศรี สัมพุทโธเจ้าเสด็จประทับเมืองกุสินารายณ์ ทรงสำราญพระอริยาบถในสวนพระราชอุทยานแห่งพระเจ้าสามลราช กับเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ครานั้นสมเด็จพระพิชิตมารทรงพระประชวรอยู่แล้ว ( ใกล้เข้าสู่พระปรินิพพาน ) ได้ตรัสแก่พระอานนท์และพระภิกษุสงฆ์สองหมื่นรูปว่า.......
ตถาคตใกล้เข้าสู่พระปรินิพพานอยู่แล้ว ตถาคตจะบัญญัติไว้แก่พระศาสนาห้าพัน สัตว์ทั้งปวงจะบังเกิดมาในอนาคตกาลภายภาคหน้า
- จะประกอบไปด้วยศรัทธากระทำกองการกุศลเป็นต้นว่า ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา สดับฟังพระธรรมเทศนา
- หรือสัตว์ทั้งปวงจะพบแต่ศาสนา จะประกอบไปด้วยมานะทิฐิกระด้างกระเดื่อง มิได้อ่อนน้อมในพระพุทธศาสนา จะประกอบไปด้วยโลภและมัจฉริยะ (ความตระหนี่) อันมีลักษณะให้โลภและตระหนี่เป็นเหตุ แลพระศาสนามิได้บริบูรณ์ถ้วนห้าพันปี
( ความตอนนี้แสดงถึงการแบ่งเขตศาสนาเป็นสองยุคคือ สองพันห้าร้อยปีแรก และ สองพันห้าร้อยปีหลัง )
เมื่อพระพุทธองค์มีพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ก็ร้อนถึงท้าวสักกะเทวราช บุณฑุกัมพล ศิลาอาสน์ที่เคยอ่อนแต่ก่อนมา ก็แข็งกระด้างดังศิลา ท้าวเธอทรงพิจารณาดูด้วยทิพยเนตร จึงแจ้งเหตุว่าสมเด็จพระชินศรีตรัสพระธรรมเทศนา มีพุทธบัญญัติพระพุทธศาสนา จำต้องลงไปสู่มนุษย์โลกเข้าเฝ้าพระชินศรี
ท้าวสักกะเทวราชเจ้าหมอบยอบกายลง ณ เบื้องพระพักตร์พระพุทธศาสดา พระพุทธองค์จึงมีพุทธบรรหารตรัสแด่ท้าวเธอว่า …….
ขอท่านจงเป็นประธานแก่บริษัทสี่จำพวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา จงช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคตให้ถาวรวัฒนาการเจริญในภายภาคหน้า ท้าวเธอพนมมือสาธุการธุลีพระบาทเจ้า เกล้ากระหม่อมอัญชุลีเหนือเศียรเกล้า จะช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาให้เจริญและดำรงมั่นตลอดเขตพระ ศาสนาของพระองค์ พระเจ้าข้า....... นี้จึงเป็นที่มาแห่งปรมัตถ์นามว่า
พุทธศักราช = พุทธ + สักกะร่าชา
กาลต่อมาเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว จึงเริ่มนับอายุเขตพระพุทธศาสนาเป็น พ.ศ. (พุทธศักราช) พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์เจริญรุ่งเรืองนักหนา ผู้คนประกอบไปด้วยศรัทธาก็พักพาซึ่งกันและกันกระทำกองการกุศล ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ปฏิบัติตามโอวาทานุศาสน์คำสั่งสอนแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า
ลุล่วงถึงสมัยหนึ่งแห่งกรุงศรีอยุธยา ยังมีบ้านแห่งหนึ่งนามว่า บ้านท่าลาด เป็นที่สะอาด ผาสุกสบาย ประชาชนมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ในหมู่บ้านนั้นมีเศรษฐีคนหนึ่งมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า เจ้าบริสุทธิ์กุมาร ครั้นเมื่อเจริญวัย บิดามารดาปรารถนาจะให้แต่งงาน จึงไปขอนางประทุมกุมารี บุตรีคนมั่งมีในละแวกนั้น ให้แต่งงานกัน เมื่ออยู่กินกันมาก็หามีบุตรไม่ คนทั้งสองจึงกระทำกองการกุศลปรารถนาขอบุตรธิดามาสืบสกุล
ความปรารถนานั้นแก่กล้าร้อนถึงท้าวสักกะเทวราช ท้าวเธอทราบเหตุจึงพิจารณาหาเทพบุตรองค์ใดลงไปเกิดดี อันว่า พระศาสนาก็ได้ล่วงไปแล้วกว่าพันสองร้อยปี เห็นทีควรจะเชิญเสด็จพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ลงเกิดเยี่ยมเยียมพระศาสนาพระพุทธ โคดม เพื่อตระเตรียมงานพระศาสนายุคกึ่งพุทธกาลหลังสืบไป
“ ข้าแต่ท่านผู้หาทุกข์มิได้ การครั้งนี้สมควรที่พระองค์จะสงเคราะห์แด่ชาวมนุษย์โลก เชิญพระองค์ลงไปปฏิสนธิกำเนิดในครรโภทรแห่งนางประทุม จะได้เพิ่มเติมพระบารมี ให้ถาวรวัฒนาการเจริญบริบูรณ์ อนึ่งพระพุทธศาสนาสมเด็จพระพุทธางกูรสัมพุทธเจ้าแห่งเราล่วงไปแล้ว ขอพระองค์อันเป็นจอมอมรในชั้นดุสิต รับนิมนต์แห่งข้าพระบาทเถิด พระเจ้าข้า ”
“ ดูกร..เทวราช พระพุทธศาสนาพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงไปได้กึ่งครึ่งพระศาสนาแล้วหรือยัง”
“ พระพุทธศาสนาล่วงไปเกือบจะใกล้กึ่งครึ่งพระศาสนาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงมาอาราธนาให้พระองค์ลงไปเยี่ยมเยือนพระพุทธ ศาสนาจะได้ช่วยทำนุบำรุงให้ถาวรวัฒนาเจริญถ้วนห้าพันปี”
องค์พระจอมไตรย์พิจารณาเห็นสมควรต่อคำอาราธนาเชื้อเชิญของท้าวสักกะเทวราชจึงตรัสตอบว่า
“ ดูกร........เทวราช ถ้ากระนั้นแล้วเราจะลงไป ท่านก็คอยระวังระไวอย่าให้ขัดข้อง”
เมื่อพระเมตไตรย์โพธิสัตว์จุติลงมานั้น นางประทุมผู้ภรรยาเจ้าบริสุทธิ์กุมารได้ฝันตอนใกล้รุ่งว่า พระอาทิตย์เสด็จอุทัยไขรัศมีแล้วกระจ่างสว่างขึ้นมาเหนือยอดเขายุคนธร ลอยละลิ่วมาในอากาศ แล้วลอยเลื่อนลงมาตรงปากของนาง นางมีความโสมนัสยินดี ได้กลืนกินดวงสุริยาเทพบุตรกับทั้งราชรถไว้ในนาภี ครั้นรุ่งเช้านางจึงเล่าความฝันให้สามีฟัง บริสุทธิ์กุมารฟังความก็ดีใจว่าจะได้บุตรสมปรารถนา
จนถ้วน 10 เดือนในเดือนยี่ ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันดี เมตไตรย์เทวบุตรก็ประสูติจากครรภ์มารดา ในครั้งนั้นบังเกิดมหามหัศจรรย์ทั่วทุกทิศานุทิศ พื้นพสุธาอันหนาแน่นถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์สะเทือนเลือนลั่น มหาสมุทรใหญ่น้อยก็ตีฟองระลอกกระฉอกฉาน เทพยดาในเมืองสวรรค์ก็เป่าสังข์ โปรยดอกไม้หอมฟุ้งตลบอบอวล
เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญวัยได้ 18 ปี ออกช่วยมารดาทำไร่นา และช่วยขับไล่นกไม่ให้มาจิกข้าวในนา ฝ่ายนกทั้งหลายเมื่อเห็นพระโพธิสัตว์ขับไล่ ก็พากันร้องบอกต่อ ๆ กันไปว่า
“ พวกเราทั้งหลายอย่ากินข้าวนานี้เลย ท่านเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดและท่านจะได้ตรัสเป็น พระชินศรีสัมพุทโธในอนาคต”
เมื่อนกกระจาบทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็ไม่ลงกินข้าวในนาของพระโพธิสัตว์
วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ไปเฝ้านา เห็นฝูงปลาในบึงเป็นอันมาก คิดจะตกปลา จึงเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดแล้วหย่อนลงในน้ำ พลางเปล่งอุทานวาจาว่า
“ ดูกร ปลาทั้งหลาย ปลาตัวใดเคยเป็นอาหารของเรามาก่อน ก็จงกินเหยื่อเบ็ดนี้ ถ้าปลาตัวใดไม่เคยเป็นอาหารของเรามาก่อน ก็อย่ากินเหยื่อเบ็ดนี้เลย เบ็ดนี้แหลมคมนัก มันจะเกี่ยวปากได้รับความเจ็บปวด”
ฝูงปลาทั้งหลายเมื่อได้ฟังอุทานวาจาเช่นนั้นก็เกิดความสงสัยว่า ผู้ใดหนอมากล่าววาจาเช่นนี้ ได้เที่ยวมาช้านานแล้ว ไม่เคยได้ยินสัจวาจาที่เป็นธรรมะดังนี้เลย หรือว่าจะเป็นหน่อพระชินศรีบรมโพธิสัตว์ สร้างโพธิสมภารเพื่อประโยชน์จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตภายภาคหน้า ฝูงปลาทั้งหลายจึงร้องบอกแก่กันและกันว่า
“ ดูกร เราท่านทั้งปวง อย่ากินเหยื่อที่เบ็ดนี้เลย เป็นเบ็ดของโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งสัจจาธิษฐานปรารถนาจะให้จิตบริสุทธิ์ จึงได้กล่าววาจาเป็นคำซื่อตรงดังนี้”
บรรดาปลาทั้งหลายเมื่อทราบความจริง ก็ทำเมินไม่เข้าไปกินเบ็ดของพระโพธิสัตว์
ขณะนั้นมีปลาดุกตัวหนึ่งได้ฟังคำห้ามจึงพูดกับปลาทั้งปวงว่า
“ ดูกรท่านทั้งปวง ชายคนนี้ประสงค์จะสร้างพระ บารมีโพธิสัตว์สมภาร ปรารถนาจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในภายหน้า เรานี้ก็ได้ชื่อว่าตัวดีอาจจะให้ชีวิตเป็นทานได้ ด้วยปรารถนาจะสำเร็จพระโพธิญาณในภายหน้า”
เมื่อพูดเช่นนั้นปลาดุกตัวกล้าก็พุ่งเข้าไป ฉวยคาบเบ็ดของพระโพธิสัตว์แล้วลากไป พระโพธิสัตว์รู้ว่าปลาติดเบ็ดแล้วก็ตวัดขึ้นไป ปลาดุกมีความเจ็บปวดก็ร้องด้วยวาจาภาษาคนว่า
“ โปรดก่อนเจ้าข้า อย่าวัดแรงนัก เจ็บเหลือทนแล้ว จงวัดค่อย ๆ เถิด”
ปลาหมอตัวหนึ่งได้ฟังดังนั้นจึงร้องบอกว่า
“ ปลาดุกเอ๋ย เจ้าศรัทธากล้าตายแล้วจะร้องไปทำไม จงอุตส่าห์แข็งอกแข็งใจทนเอาเถิด จะได้สำเร็จแก่พระนิพพาน”
เมื่อพระโพธิสัตว์และมารดาได้ยินปลาพูด เป็นภาษาคน ก็คิดฉงนว่าจะเป็นนิมิตอันหนึ่งอันใดหนอ จำจะนำเหตุการณ์นี้ไปถามนักปราชญ์ดูว่าดีร้ายประการใด ทั้งสองจึงชวนกันกลับบ้านจัดแจงหาธูปเทียนดอกไม้หมากพลู แล้วพากันไปวัด หมอบกราบท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ ผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ท่านพิจารณาเรื่องราวแล้วเข้าใจทันทีว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ เห็นจะเป็นหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์เป็นแน่แท้ ครั้นจะทายทักออกไปตามที่คิดก็เกรงว่ากิติศัพท์จะฟุ้งซ่านมากไป ไม่เป็นการสมควร จำจะทำนายโดยโวหาร พอให้หายข้องใจ จึงกล่าวว่า
“ ดูกร อุบาสิกา บุตรของท่านเราเห็นว่าไม่ สมควรที่จะอยู่ในเพศฆราวาส ถ้ากระไรก็ให้บรรพชาบวชเป็นสามเณรเสียเถิดจะประเสริฐกว่า”
ผู้เป็นมารดาได้ฟังก็ดีใจ มอบถวายบุตรชายให้ บวชเป็นสามเณรในวันเวลานั้น ฝ่ายสามเณรศรีอาริย์ก็อุตส่าห์เล่าเรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานทั้ง 3 ประการ คือรู้ในพระสูตร พระวินัย และพระปรมัตถ์
นับแต่พระโพธิสัตว์ศรีอาริย์บรรพชาเป็นสามเณร ท้าวสักกะพร้อมด้วยอัปสรเทพกัญญา เป็นต้นว่านางสุชาดา นางสุนันทา นางสุจิตรา และนางสุธรรมา ต่างก็ลงมาปรนนิบัติเตรียมน้ำสรงตลอดจนผ้าสบงจีวร ให้สามเณรได้รับความสะดวกสบายทุกประการ โดยที่ไม่มีใครรู้เห็นการมาของทวยเทพเหล่านั้นเลย
สามเณรศรีอาริย์บำเพ็ญอยู่จนถึงอายุ 20 ปี ก็ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ จำพรรษาอยู่ ณ. วัดไลย
พระศรีอาริย์กลับดุสิต
กล่าวถึงเมืองนครพารา มีกระทาชายคนหนึ่งหา เลี้ยงบุตรภรรยาด้วยความชอบธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม จะได้ประกอบอกุศลกรรมหยาบช้าก็หามิได้ และเป็นคนที่เพียบพร้อมไปด้วยศรัทธา เคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เมื่อกระทำการกุศลสิ่งใดก็ตั้งใจมุ่งมาดปรารถนาขอให้พบพระศรีอาริย์ ขอได้ไปเมืองแก้ว
อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันพระ 15 ค่ำ ชายผู้นี้มีจิต ศรัทธารักษาอุโบสถศีลแปด มิได้รับประทานอาหารเย็น ได้ปรารภกับบุตรภรรยาว่า
“ วันนี้เป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่สู้สบายใจ เราขอสั่ง ความไว้ว่าอย่างหนึ่ง ขอให้จดจำไว้ให้ดี หากว่าเราถึงแก่กรรมในวันนี้แล้ว ขออย่าเพิ่งทำฌาปกิจ ขอให้รอไว้สัก 7 วันก่อน ถ้าพ้นจากนั้นเรายังไม่กลับมาจึงค่อยเผา”
เมื่อสั่งเสียแล้ว ชายผู้นั้นก็รักษาศีลแปด ตั้งจิต ภาวนาขอเดชอำนาจคุณศีลคุณทานความสุจริตที่บำเพ็ญมา ถ้าถึงกาลกิริยาตายในวันนี้ ขอกุศลจงช่วยนำให้ไปปฏิสนธิกำเนิดในสวรรค์ ให้ได้พบพระศรีอาริยเมตไตรย์โพธิสัตว์ดังจิตมุ่งมาดปรารถนา
ขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้นจิตก็ออกจากร่างไปบังเกิด ในสวรรค์ตามที่ตั้งความปรารถนาไว้ แต่ก็ไม่ได้พบพระศรีอาริย์ จึงไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราชทูลถามหาพระศรีอาริย์ ท้าวเธอตอบว่า พระศรีอาริย์บวชอยู่ที่วัดไลย ต้องกลับลงไปใหม่ ชายคนนั้นก็ถามว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าเป็นพระศรีอาริย์ ท้าวเธอก็ตรัสแนะว่าจะส่งดอกมณฑาลงไปให้ ชายผู้นั้นจึงกลับลงมาเข้าร่างเดิมได้ทันเวลา และร่างกายยังไม่เน่า
ขณะที่วิญญาณกลับเข้าร่างนั้น พระสงฆ์กำลัง สวดอยู่ ตะแกก็ร้องเรียกภรรยาและบุตรให้มาแก้มัดตราสัง
“ ว่านี่อย่างไรกันเอาผ้าและด้ายมามัดมือมัดเท้าไว้แน่นหนาอย่างนี้ มาแก้เราออกก่อนเถิด”
พระสงฆ์อยู่ใกล้ร่างของแกได้ยินเสียงเรียกก็ ตกใจ เอ๊ะอะไรกันนี่ ตายแล้ว 7 วันยังลุกขึ้นมาร้องเรียก ต่างตกใจลุกขึ้นวิ่งหนีกันอลหม่าน ญาติโยมตกใจวิ่งตามกันออกไป ฝ่ายบุตรภรรยาไม่ชัดว่าเพราะอะไร ก็เงี่ยหูฟัง จับได้ว่าเป็นเสียงร้องเรียกให้ช่วย จะเป็นเสียงคนหรือเสียงผีก็ต้องเปิดออกดูกัน จึงชวนกันเข้าไป ตะแกก็ร้องเรียกว่าเร็ว ๆ หายใจไม่ออก จึงพากันร้องพิโธ่พิถัง ตะแกกลับฟื้นขึ้นมา ก็พากันดีใจช่วยยกร่างตะแกออกมาจากโลง แก้ด้ายตราสังออก พยุงให้นั่งเช็ดถูร่างกายให้สบาย แล้วพากันกราบไหว้ขอขมาที่ผูกมัดรัดตัวไว้ในโลง
เมื่อตะแกได้ดื่มน้ำพอชุ่มชื้นขึ้นแล้วก็เล่าเรื่องที่ได้ไปสวรรค์พบท้าวสัก กะเทวราช และท้าวเธอให้กลับลงมา ตามหาพระศรีอาริย์ เพื่อเป็นปนะจักษ์พยานว่าแกไม่ได้พูดเท็จ ตะแกก็ยกดอกมณฑาให้ดูว่า นี่แหละสักขีพยานที่ท้าวสักกะส่งมาให้ คนทั้งปวงได้เห็นต่างยกมือขึ้นอัญชลีร้อง สาธุ สาธุ กันพร้อมหน้า ตั้งแต่นั้นมาตะแกเลยได้ชื่อว่า ปะขาวทิพยมณฑา เพื่อจะออกตามหาพระศรีอาริย์ ปะขาว ฯ จึงมอบทรัพย์สมบัติให้บุตรภรรยาครอบครอง แล้วตนเองลงเรือล่องมาตามกระแสน้ำ พบปะผู้คนถามไถ่ตามหาวัดไลย์ตลอดทาง จนถึงแม่น้ำสองแคว ได้เห็นชาวเรือผู้หนึ่งจึงถามว่า สถานที่นั้นมีชื่อว่าอะไร
ชาวเรือจึงตอบว่า “ ท่านแต่ท่านตา บ้านนี้ชื่อบ้านท่าลาด เป็นแว่นแคว้นแดนเมืองปาวาย จากนี้ไปประมาณโยชน์กึ่งจะถึงเมือง ถ้าท่านตาล่องเรือลงไปอีกหน่อย ก็จะถึงปากคลองลัด เข้าไปตามคลองก็จะถึงวัดไลย”
ปะขาว ฯ ได้ฟังดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก รีบล่องเรือไปตามคำบอก ไม่ช้าก็ถึงวัดไลย์ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำพอดี เมื่อปะขาว ฯ อาบบ้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบดอกมณฑาและธูปเดินขึ้นไปบนวัด แล้วคิดในใจว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้จักพระศรีอาริย์ ในที่สุดคิดได้ว่า ควรจะไปอยู่ที่เชิงบันใดพระอุโบสถ ซึ่งพระสงฆ์จะต้องเดินเข้าไปพระอุโบสถนั้น ถ้าพระสงฆ์รูปใดเห็นดอกมณฑา อันมีอยู่ในเมืองสวรรค์ พระสงฆ์รูปนั้นจะต้องเป็นพระศรีอาริย์อย่างแน่นอน เพราะพระสงฆ์องค์อื่น ๆ ไม่รู้จักดอกมณฑาสวรรค์
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ปะขาว ฯ ก็ไปอยู่ ณ แทบเชิงบันใด เมื่อพระสงฆ์เดินผ่านไป ก็ไม่มีรูปใดออกปากทักถามถึงดอกมณฑาเลย ทำให้ปะขาว ฯประหลาดใจมาก จึงเอ่ยปากถามพระรูกหนึ่งว่า
“ พระคุณเจ้า พระในอารามนี้ มีเพียงเท่านี้หรือพระเจ้าข้า”
“ ยังมีอีกรูป ท่านไม่ลงอุโบสถวันนี้”
ปะขาวฯได้ฟังก็ดีใจ เมื่อได้รับคำบอกเล่าพระรูปนั้นอยู่ที่ใด ก็รีบเดินตรงไปยังกุฏิที่พระรูปนั้นอยู่ แท้ที่จริงแล้วพระรูปนั้นก็คือพระศรีอาริย์นั้นเอง ในคืนก่อนนั้น ท่านฝันประหลาดว่า ดวงตาทั้งซ้ายขวาแตกปะทุทำลายกระจายเหลือแต่ฝ้าขาว ๆ พระศรีอาริย์นึกพิจารณาได้เห็นว่าจะได้แก่อะไร ครั้นแลเห็นปะขาวเข้าก้มกราบนมัสการ จึงนึกว่านี่แหละคือมหาบุญมาถึงแล้ว
ปะขาวถวายธูปเทียนและดอกมณฑาแด่พระศรีอาริย์แล้วพูดว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายนมัสการด้วยน้ำใจบริสุทธิ์แทบยุคลบาทแด่พระผู้จะได้ตรัสเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล”
พระศรีอาริย์จึงถามว่า
“ ดูกรมหาบุญ ดอกมณฑานี้ท่านได้แต่ใดมา”
ปะขาวจึงเล่าเรื่องที่ตนไปสวรรค์พบท่านท้าวสักกะให้ฟังตลอด พระศรีอาริย์จึงห้ามว่า
“ นับแต่นี้ต่อไปอย่าได้พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาด จะทำให้เป็นข่าวเล่าลือไป ประชาชนทั้งหลายเขาจะพากันมาเลื่อมใสศรัทธาดูเสมือนว่า จะทำลายล้างพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝ่ายตัวท่านเป็นคนรู้แล้วก็จงนิ่งเสีย อย่าแพร่งพรายให้คนรู้”
เมื่อกำชับเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว ก็ชวนปะขาวสนทนาธรรมต่อไป ปะขาวพำนักอยู่วัดไลย ได้ปลูกต้นตาล ต้นโพธิ์ แล้วชักชวนอุบาสกอุบาสิกามาช่วยกันปลูกกุฎิ และศาลาทำสะพานจนวัดไลยเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งปะขาวได้กราบขออนุญาตหล่อรูปพระศรีอาริย์ขึ้นไว้ เพื่อให้ประชาชนสักการบูชา แต่พระโพธิสัตว์ห้ามว่า
“ ดูกร ทิพยมณฑา อย่าเพ่อกระทำเลย จะผิดคำพระพุทโธวาทแห่งสมเด็จพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงบัญญัติตรัสแก่พระอานนท์ว่า เจดีย์มีอยู่ 3 อย่าง คือ สาริกเจดีย์ 1 บริโภคิกเจดีย์ อุททิสิกเจดีย์ 1 แต่ถ้าจะรวมธรรมเจดีย์ไปด้วยกันเป็น 4 การที่ท่านจะหล่อรูปของอาตมาไว้เป็นที่นมัสการกราบไหว้นั้น เห็นจะผิดพระพุทโธวาท ดูประหนึ่งว่าพระพุทธศาสนาจะสั้นจะน้อยถอยเข้ามา เหตุว่าประชาชนคนทั้งหลายที่ปรารถนาจะพบอาตมาเมื่อทราบข่าวก็จะแตกตื่นพากัน มากระทำสักการบูชา ดูเป็นการไม่สมควร ฉะนั้นอย่าทำเลย หากว่าท่านมีศรัทธาแล้ว จงสร้างสมเด็จพระชินศรีสัมพุทโธขึ้นไว้เป็นที่สักการจะดีกว่า”
ปะขาวทิพยมณฑาเมื่อได้ฟังโอวาทแล้วก็มีความโสมนัสยินดี ชักชวนประชาชนก่อสร้างพระพุทธปฏิมากรขึ้นมา 4 พระองค์ พระโพธิสัตว์ศรีอาริย์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนคนทั้งปวง ชี้แจงอานิสงส์ที่บุคคลประกอบศรัทธาก่อสร้างและซ่อมแซมพระวิหารการเปรียญ อุโบสถ พระสถูปเจดีย์ พระพุทธรูปแลปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วแสดงพระไตรลักษณ์คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ว่าเราท่านสรรพสัตว์เกิดมาเป็นรูปธรรม นามธรรม มีอาการ 32 เป็นต้น เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ มังสัง ตลอดจนถึงมัตถลุงค์ (มันสมอง) ย่อมตั้งอยู่ในอนิจจัง คือความไม่เที่ยง ไม่แท้ ย่อมผันแปรไปมา
เกศาคือผม เริ่มต้นดำแล้วกลับขาว ขนแลเส้นสั้นแล้วแลกลับยาว เนื้อแลหนังเคร่งครัดตึงแล้วหย่อนย้อยยาน ในอาการ 32 นี้มีผมเป็นต้นเป็นประธาน พระอนิจจัง บอกว่ามิได้เที่ยงแท้ เถียงกันกับพระอนัตตา ว่าตัวของเราไม่เที่ยงแล้ว แลเราคือพระอนัตตานี้แลจะให้สูญไป สิ่งใดในร่างกายของท่าน เป็นต้นว่าอาการ 32 นี้หรือจะไม่สูญ อย่าพึงสงสัยเลย สิ่งใดที่ว่าเป็นที่ชอบใจของตน เป็นต้นว่าดวงตาทั้งสองซ้ายขวานี้แลย่อมเป็นที่ชอบใจของตน จะพิจารณาสิ่งใดก็ย่อมแจ้งใจทุกสิ่งทุกประการ รู้จักถ้วนรู้จักดีงาม จะรู้จักถนัดก็จริงแล แต่เมื่ออายุของตนอยู่ในปฐมวัย ครั้นเมื่ออายุเลยไปถึงปัจฉิมวัย ที่ใกล้ก็จะเป็นที่ไกล ที่งาม ๆ ผ่องใสก็จะด่างจะพร้อยจะพร่างจะพราย จะมิได้แจ้งกระจ่างสว่างดี เมื่อเป็นเสียเช่นนี้ จะว่าเที่ยงว่าแท้อย่างไรได้ และจะเป็นอยู่เพียงเท่านั้นก็หาไม่ พระอนัตตาบอกว่าจะสูญไปหาประโยชน์มิได้ พระไตรลักษณ์ทั้ง 3 ประการนี้แล ที่สมเด็จพระชินศรีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเทศนาไว้ หวังจะให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้พิจารณาให้เห็นในรูปกายแลเบื่อหน่ายใน วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก ให้ปรารถนาเอาพระนิพพานในภายภาคหน้า
เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย์ตรัสพระธรรมเทศนาดังนั้นแล้ว ประชาชนทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่ก็พากันชื่นชมโสมนัสยินดี ประหนึ่งว่า เอาน้ำอมฤตมาราดรดให้หายความร้อน สำเนียงสาธุการนั้นได้ดังสะท้อนก้องขึ้นไปถึงดาวดึงส์สวรรค์ ขณะนั้นท่านท้าวสักกะเทวราชกับหมู่เทพอัปสรกัลยาประชุมอยู่ในโรงธรรมสภานั้น ด้วย แต่หามีผู้ใดได้เห็นไม่ ครั้นบรรดาอุบาสกอุบาสิกาพากันกลับไปหมดแล้ว พระเมตไตรย์บรมโพธิสัตว์จึงตรัสแก่ท้าวเธอว่า
“ ดูกร เทวราช พระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ยังไม่ได้ครึ่งกึ่งพระ ศาสนา เราลงมาเยี่ยมครั้งนี้ ก็เป็นกุศลราศีอันล้ำเลิศประเสริฐยิ่งนัก ที่ได้มาบรรพชาเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตามวินัยสิกขาแลปาติโมกข์ ( วินัยของสงฆ์ 227 ข้อ ) แลได้สมาทานทางสมถวิธี ก็ได้ชื่อว่าเป็นศีลขันธบารมีอันอุดม อนึ่งเราได้ลงมาเชยชมพระพุทธศาสนา ได้ทำนุบำรุงให้ถาวรวัฒนาการเจริญเป็นอันดี การครั้งนี้ก็สมควรที่เราจะกลับไปสู่ที่อยู่ของอาตมาได้แล้ว”
ท้าวสักกะเทวราชสาธุการอัญเชิญธุลีพระบาท ขณะนั้นก็บังเกิดอากาศวิปริตมืดมิดไปทั่วทุกทิศไม่อาจแลเห็นกันและกันได้ พระเมตไตรย์ก็เข้าสู่กุฎินั่งสมถกรรมฐาน เพียงชั่วครู่ก็จุติขึ้นไปบังเกิดชั้นดุสิตพิมาน พร้อมด้วยเทพบริวารอันเป็นนิวาสถานที่เคยอยู่มาแต่ก่อน
หล่อรูปพระศรีอาริย์
เมื่อเกิดมืดฟ้ามัวดินขึ้นมา บรรดาพระภิกษุสามเณรซึ่งเป็นศิษย์ของพระเมตไตรย์ก็พากันตระหนกตกใจ ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ต่างพากันรีบร้อนขึ้นไปดูบนกุฎิ เห็นแต่รูปกายนั่งอยู่ปราศจากลมหายใจ จึงร้องบอกกันว่า
“ ท่านทั้งหลายเอ๋ย พระอาจารย์ของเรา
ท่านกระทำกาลกิริยาตายเสียแล้ว”
เมื่อทราบดังนั้น ผู้คนก็พากันมากราบนมัสการแลช่วยกันจัดงานตามประเพณีและกระทำฌาปกิจด้วยความ โศกเศร้าเสียใจ แลครั้งนั้นปรากฏว่าอัฐิของท่านเป็นทองแดง นับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ผู้คนที่ได้เห็นต่างก็เข้าใจว่า เจ้าประคุณของข้านี้มิใช่อื่นไกล คือองค์พระเมตไตรย์โพธิสัตว์เป็นเที่ยงแท้ แล้วก็ชวนกันเก็บอัฐิทองแดง เพื่อจะหลอมหล่อรูปพระศรีอาริย์ไว้กราบไหว้บูชา
ครั้งนั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้ช่วยกันปั้นรูปพระศรีอาริย์และทำพิธีหล่อ แต่หลอมทองอยู่ช้านานตั้งแต่เช้าจนเพล ทองก็ไม่ละลาย พากันร้อนใจว่าการหล่อรูปคงจะไม่สำเร็จเสียแล้ว ความนี้ทราบถึงท่านท้าวสักกะเทวราช ท้าวเธอจึงแปลงกายลงมาเป็นตาปะขาว เข้าไปสู่ที่ประชุมสงฆ์แล้วกล่าวนิมนต์ขึ้นว่า
“ เจ้าข้า เวลานี้ก็จวนเพลแล้ว คงจะหล่อไม่พ้น
ขอนิมนต์พระคุณเจ้าขึ้นไปฉันเพลก่อนเถิด
กระผมจะช่วยสูบไฟหลอมทองให้”
บรรดาพระสงฆ์ก็พากันขึ้นไปฉันเพล ฝ่ายตาปะขาวท้าวสักกะก็รีบเข้าไปสูบหลอมทอง ทันใดนั้นทองก็ละลาย ตาปะขาวก็เททองใส่ในรูปจำลองให้เต็มดี แล้วจึงเสด็จกลับดาวดึงส์สวรรค์ ครั้นพระสงฆ์ฉันเพลเสร็จลงมา เห็นรูปหล่อไว้งามดี ก็เข้าใจว่าท้าวเธอลงมาหล่อให้อย่างแน่นอน จึงสำเร็จสมความปรารถนา ก็พากันชื่นชมรูปหล่อนั้นเห็นมีบกพร่องอยู่ที่ริมพระโอษฐ์หน่อยหนึ่ง ซึ่งเป็นตำหนิให้ทราบว่าเป็นเพราะพระองค์เคยตกปลา กับนิ้วมือเป็นรอยอยู่นิดหนึ่ง
เมื่อได้รูปหล่อสมปรารถนา (ไม่มีพระเกตุมาลา นั่งปางมารวิชัย ) ภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็พากันลงรักปิดทองฉลองสมโภชน์ แล้วเชิญประดิษฐานไว้ในพระวิหารวัดไลย มาตราบเท่าทุกวันนี้
วัดไลย ปัจจุบันนี้อยู่ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
การอุบัติขึ้นแห่งพระศรีอาริย์
พระเมตไตรย์โพธิสัตว์จะอุบัติขึ้นท่ามกลางศาสนาของพระพุทธโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น 3 สมัยคือ
1. สมัยพระธรรมกำลังแผ่ไพศาลไปด้วยดี ประมาณ 500 ปี
2. สมัยสัทธรรมปฏิรูป ประมาณพันปีล่วงไปแล้ว
3. สมัยพระสัทธรรมได้เป็นไปแล้ว (สมัยเสื่อม สัทธรรม)
ประมาณ 3,000 ปี