นรก แปลว่า ภูมิหรือดินแดนที่ปราศจากความเจริญ, หุบเหวแห่งความทุกข์
นรก เป็นภูมิที่เกิดของผู้ที่ทำบาปกรรมไว้หลังจากตายไปแล้ว เป็นภูมิที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน หาความสุขมิได้ เป็นภูมิหนึ่งในจำนวนอบายภูมิ 4 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นรกภูมิ
นรก มีหลายชั้น ตามกรรมของผู้ทำ เช่น โลหกุมภีนรก (นรกหม้อทองแดง) สิมพลีนรก (นรกต้นงิ้ว)
เรียกการไปเกิดในนรกว่า ตกนรก
มีอีกคำหนึ่งซึ่งใช้แทนคำว่า นรก และมีความหมายเหมือนกันคือคำว่า นิรย เช่นใช้ว่า
นิรยภูมิ (แผ่นดินนรก)
นิรยบาล (ผู้ดูแลนรก ผู้คุมนรก)
นรก (สันสกฤต, บาลี : นรก; อาหรับ: นารฺ, ญะฮีม, ญะฮันนัม, สะก็อร; อังกฤษ hell) หมายถึง ภพหนึ่งในคติของศาสนาต่าง ๆ เช่น อิสลาม คริสต์ พุทธและยูได อันเป็นสถานที่ตอบแทนความชั่วของมนุษย์ที่ได้ทำไปเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต อยู่บนโลกนี้
เดรัจฉานภูมิ (Animal Kingdom)
สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ เป็นสัตว์ที่มีตีนและไม่มีตีน เวลาเดินเอาอกคว่ำลง ได้แก่ ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ แมลง ดำรงชีวิตด้วย กามสัญญา มรณสัญญา มักไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักค้าขาย ทำไร่ไถนา ล่ากินกันเอง
เปรตภูมิ (Ghost-Sphere)
ผู้ที่ทำบาปหยาบช้าจะมาเกิดในภูมินี้ แล้วแต่บาปที่กระทำ เช่น ตัวงามดังทองแต่ปากเหม็นเหมือนเต็มไปด้วยหนอน เนื่องเพราะเคยบวชรักษาศีล แต่ชอบยุยงให้หมู่สงฆ์ผิดใจกัน บางตัวงามดังท้าวมหาพรหม แต่ปากเป็นหมู อดอยากหนักหนา เมื่อก่อนได้บวชรักษาศีลบริสุทธิ์ แต่ด่าว่าครูบาอาจารย์และพระลงฆ์ผู้มีศีล บางตัวผอมโซกินลูกตัวเองที่คลิดออกมา เพราะเคยรับทำแท้งให้ชาวบ้าน บางตัวสูงเท่าต้นตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดอยากไม่มีข้าวน้ำกิน เพราะไม่เคยทำบุญทำทาน แม้เห็นใครทำก็ห้าม บางตัวเพียรเอาสองมือกบอข้าวที่ลุกเป็นไฟ มาใส่หัวอยู่อย่างนั้น เพราะเคยเอาข้าวดีปนกับข้าวไม่ดีหลอกขายชาวบ้าน เปรตบางตัวมีอายุ 100 ปี บางตัวอายุ 1000 ปี บางตัวชั่วกัลป์ ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ แม้แต่หยดเดียว 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
อสุรกายภูมิ (Host of Demons)
อสุรกายภูมิ มี 2 จำพวก คือ กาลกัญชกาอสูรกาย ร่างกายผอมสูง 2000 วา ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ ดั่งใบไม้แห้ง ตาเล็กเท่าตะปู ปากเท่ารูเข็ม ตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม เวลากินต้องเอาหัวลง ตีนชี้ฟ้า ลำบากยากนักหนา ทิพย์อสูรกาย ตัวสูงหน้าตาหน้าเกลียด ท้องยานฝีปากใหญ่ หลังหัก จมูกเบี้ยว แต่ยังมีช้างม้า ข้าไท มีรี้พลดังพระอินทร์ อยู่ในอสูรภพ ใต้แผ่นดินลึกลงไปถึง 84000 โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ 4 เมือง 4 ทิศ มีพระยาอสูรอยู่เมืองละ 2 ทางทิศเหนือมีพระยาอสูรชื่อ ราหู มีอำนาจและกำลังอยู่เหนือพระยาอสูรทั้งหลาย มีร่างกายใหญ่โต 4800 โยชน์ หัวโดยรอบ 900 โยชน์ สามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าไว้ในปาก ที่คนทั้งหลายเรียกว่า สุริยคราส หรือ จันทรคราส
มนุษยภูมิ (Human Realm)
ภูมิของมนุษย์เป็นภูมิระดับที่สูงกว่าอบายภูมิ เป็นชั้นแรกของสุคติภูมิ แต่ยังรวมอยู่ในภูมิใหญ่คือ กามภูมิ สัตว์อันเกิดในมนุษยภูมินี้ แรกก่อกำเนิดในครรภ์เรียก กลละ (รูปเมื่อเริ่มในครรภ์) มีรูป 8 คือ
ปฐวีรูป - รูป
อาโปรูป - น้ำ
เตโชรูป - ความร้อน
วาโยรูป - ลม
กายรูป - ตัวตน
ภาวรูป - เพศ
หทัยรูป - ใจ
ชีวิตรูป - ชีวิต
ก่อกำเนิดจาก 3 สิ่งก่อน คือ กายรูป ภาวรูป หทัยรูป
ผสมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วรวมกับ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโน คนโธ รโส โอชา
ประกอบกันเป็นองค์ 9 แล้ว จักษุ-ตา โสต-หู ฆาน-จมูก ชิวหา-ลิ้น จึงตามมา เมื่อเริ่มเป็นกลละได้ 7 วัน ดั่งน้ำล้างเนื้อ ต่อไปอีก 7 วัน ข้นเป็นดั่งตระกั่วหลอม อีก 7 วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ อีก 7 วันต่อมาเป็นตุ่มออก 5 แห่ง ตุ่มนั้นเป็นมือ 2 ตีน 2 หัว 1 แล้วต่อไปอีก 7 วัน เป็นฝ่ามือ นิ้วมือ ผม ขน เล็บ และอวัยวะอื่นๆ อันประกอบเป็นมนุษย์ กุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ เอาหลังชนท้องแม่ ฝูงกุมารมนุษย์อันเกิดมาดีกว่า เก่งกว่าพ่อแม่ เรียกว่า อภิชาตบุตร ดีเสมอพ่อแม่ เรียกว่า อนุชาตบตร ด้อยกว่าพ่อแม่เรียกว่า อวชาตบุตร
อนิจจลักษณะ (Impermanence)
เหล่าฝูงสัตว์ในภูมิ นรก เปรต ดิรัจฉาน และอสุรกาย เมื่อสิ้นอายุ จะไปเกิดในภูมิเดิม ถ้าได้เคยทำบุญกุศลมาก่อน ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเป็นภูมิเทพยดา แต่ไม่สามารถไปเกิดในภูมิของพรหมทั้ง 20 ชั้นได้ ฝูงสัตว์ที่ได้เป็นมนุษย์มี 2 จำพวกคือ อันธปุถุชน คือผู้ที่ทำแต่ความชั่วช้า เมื่อตายจากมนุษย์ย่อมไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะอัปลักษณ์บัดสี กัลยานปุถุชน คือผู้ที่ฝักใฝ่ประกอบแต่กรรมดี เมื่อตายได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป ยกเว้นปัญจสุทธาวาส หรือได้ไปสู่นิพพานก็มี
เหล่าเทพยดาในฉกามาพจรภูมิ เมื่อสิ้นอายุ ถ้าไม่ได้มรรคผลอาจเกิดในภูมิเดิม ภูมิมนุษย์ หรืออบายภูมิ ถ้าได้มรรคผล จะได้ไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ พรหมในรูปภูมิ เมื่อสิ้นอายุ อาจมาเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้าได้มรรคผลก็จะได้ไปเกิดในภูมิที่สูงขึ้นไป แต่จะไม่เกิดในอบายภูมิ
เหล่าฝูงพรหมในอรูปภูมิ เมื่อสิ้นอายุ อาจลงมาเกิดในสุคติภูมิ แต่จะไม่เกิดในอรูปภูมิชั้นที่ต่ำกว่า หรือในรูปภูมิ และจะไม่ได้เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าได้ฌานที่สูงขึ้น ก็ได้ไปเกิดในอรูปภูมิ ชั้นที่สูงกว่า ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันเกิดในไตรภูมินี้ ย่อมไม่มั่นคง ย๋อมรู้ฉิบหาย รู้ตายจาก รู้พลัดพราก ไม่ว่าพระอินทร์หรือพระพรหม ยังคงมีเกิดมีดับ ย่อมเวียนว่ายอยู่ในไตรภูมินี้ เนื่องมาแต่เหตุแห่งสภาวะจิต ยังรับแรงกระทบจากกิเลส ประดุจดั่งหยดน้ำตกมากระทบผิวน้ำ ผิวน้ำก็ย่อมเกิดระลอกสั่นไหว ถ้าจิตเราไม่รับสนองต่อสิ่งที่มากระทบ จิตเรานั้นย่อมสงบนิ่ง
นรกภูมิในพระพุทธศาสนา
นรกแบ่งเป็นขุมๆตามอำนาจของกรรมที่เหล่าสัตว์โลกกระทำไว้บันดาลให้เกิดขึ้น นรกมีทั้งหมด 457 ขุม เยอะมากถ้าเทียบกับ สุขคติภูมิ26 ชั้น แสดงว่าสัตว์โลกกระ ทำปาบมากกว่าบุญมาก ที่อยู่ของสัตว์นรกจึงเยอะกว่ามาก นรกจะขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุดตามจำนวนที่มากขึ้นของสัตว์นรก ฉะนั้นนรกไม่เหมื่อนคุกที่มีวันเต็ม นรกไม่มีทางเต็มเลย นรกแบ่งตามอำนาจของกรรมดังนี้
- มหานรก 8 ขุม
- อุสสทนรก 128 ขุม
- ยมโลก 320 ขุม
- โลกกันตนรก 1 ขุม
มหานรก 8ขุม
- สัญชีวมหานรก ขุมนรกไม่มีวันตาย สัตว์นรกมีอายุ 500 ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 5ล้านปีมนุษย์
- กาฬสุตตมหานรก ขุมนรกบรรทัดดำสัตว์นรกมีอายุ1,000ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 36ล้านปีมนุษย์
- สังฆาตมหานรก ขุมนรกภูเขาขยี้กาย สัตว์นรกมีอายุ 2,000 ปี 1วันนรกขุมนี้ เท่ากับ 145 ล้านปี
- โรรุวมหานรก ขุมนรกร้องไห้ สัตว์นรกมีอายุ 4,000 ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 234 ล้านปีมนุษย์
- มหาโรรุวมหานรก ขุมนรกร้องดังสนั่น สัตว์นรกมีอายุ 8,000 ปีนรก 1วันนรกเท่ากับ 9,216 ล้านปี
- ตาปนมหานรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนสัตว์นรกมีอายุ16,000ปี 1วันนรกเท่ากับ 184,212 ล้านปี
- มหาตาปนมหานรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนยิ่ง สัตว์นรกมีอายุ ครึ่งกัป
- อเวจีมหานรก ขุมนรกแห่งไฟ สัตว์นรกมีอายุ 1 กัป
อุสทนรก128ขุม เป็นบริวารของมหานรกทั้ง8โดยแบ่งแยกดังนี้
- อุสทนรกอยู่รอบ สัญชีวมหานรก 16ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ กาฬสุตตตมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ สังฆาตมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ โรรุวมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ มหาโรรุวะมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ ตาปนมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ มหาตาปนมหานรก 16 ขุม
- อุสทนรกอยู่รอบ อเวจีมหานรก 16 ขุม
อุสทนรก128 ขุม ร่าย รอบมหานรกทั้ง8โดยอยู่ประจำทั้ง4ทิศ ทิศละ4ขุม มีชื่อเรียกเหมื่อนกันทั้งหมด ไม่กล่าวถึงอายุของสัตว์นรกที่ต้องเสวยทุกข์ ในอุสทนรกอย่างชัดเจน นรกขุมนี้มีชื่อเรียกดังนี้
- คูถนรก ขุมนรกเห่งขี้เน่า
- กุกกุฬนรก ขุมนรกแห่งเถ้ารึง
- อสิปัตตนรก ขุมนรกมะม่วงเหล็กมหาภัย
- เวตรณีนรก ขุมนรกน้ำกรด
-
-
ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรก ขุมใหญ่เรียงลำดับจากเบาไปหนัก
ขุมที่ ชื่อ อายุนรก เปรียบเทียบจำนวนวัน หมายเหตุ
1 สัญชีพนรก 500 ปี 1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์
2 กาฬปุตตะนรก 1,000 ปี 1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์ 36,000 ล้านปีมนุษย์
3 สังฆาฏนรก 2,000 ปี 1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์
4 โรรุวนรก 4,000 ปี 1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์ 936,000 ล้านปีมนุษย์
5 มหาโรรุวนรก 8,000 ปี 1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์
6 ตาปะมหานรก 16,000 ปี 1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000
ล้านปีมนุษย์
7 มหาตาปะนรก 1/2 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
8 อเวจีมหานรก 1 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
พิเศษ โลกันตนรก ไม่มีอายุ เป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตำรา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป
ความหมายของ 1 ปีนรก
1 ปี มี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์
ความ หมายของ 1 กัป
สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์
บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม เวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด
จน กระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป
นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ 10
เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ กรรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ
เมื่อเสร็จสิ้นจากขุม ใหญ่แต่ละขุม ต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุมก่อน
แล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้ง ว่ามีกรรมเหลือเท่าไร
จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุม ใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม
นรก ขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีวนรก
ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบก็เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด
สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
มี กำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน นายนิริยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป นำเส้นบรรทัดมาตีเป็นเส้นที่ตัว จากหัวถึงท้ายบ้าง ตีตามขวางบ้าง ไม้บรรทัดนั้นทำจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงโชน มื่อตีเส้นเป็นแนวแล้ว ก็จะนำเลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดอีโต้บ้าง มาสับลงตามรอยที่ตีไว้แล้วนั้น
นรก ขุมใหญ่ ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน เมื่อถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา
นรกขุม ใหญ่ ขุมที่ 4 โรรุวนรก
มีกำแพงเหล็ก 4 ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา ไม่มีนายนิริยบาล สัตว์นรกจะถูกกรรมทำให้ต้องเอาหัวมุดลงไปในดอกบัว มือและขาก็จะจุ่มลงไปเช่นกัน กลีบบัวจะงับเข้ามาหนีบขาไว้ถึงข้อเท้า หนีบมือไว้ถึงข้อมือ ส่วนหัวจะหนีบไปถึงคาง เพื่อให้ไฟนั้นเผาอยู่ตลอดเวลา
นรก ขุมใหญ่ ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาว ปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น
เผา ไฟจนแดงโชน แต่ดอกบัวนี้จะไม่งับแน่นนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวทั้งหลายจะร้อน และดิ้นไปโดนกลีบบัว เมื่อกระทบกลีบบัวก็จะขาดตกลงมา
ถูกแหลนหลาวข้างล่างแทงรับไว้ แต่เนื่องจากแหลนหลาวนั้นเป็นไฟลุกแดง จึงทำให้เนื้อตัวของสัตว์นรกนั้นลุกร้อนเป็นไฟ ตกลงมาที่พื้น เมื่อตกถึงพื้น ก็จะมีหมาที่คอยกัดกินจนเหลือแต่กระดูก จนหมดเกลี้ยง แล้วก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นกายใหม่ จากนั้นนายนิริยบาลก็จะบังคับไล่แทงให้ไปอยู่บนดอกบั วต่อไปอีก
นรกขุม ใหญ่ ขุมที่ 6 ตาปะมหานรก
แสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มีความร้อนจัด สัตว์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน และพื้นเป็นเหล็กร้อน แดงฉาน มีแหลนหลาวไฟลุกแดงโชน พุ่งมาเสียบเอาสัตว์นรกแล้วเอาขึ้นตั้งไว้ พอไฟไหม้เนื้อหนังหล่นลงมา สัตว์นรกก็จะหล่นลงมาด้วย ก็จะถูกสุนัขขนาดใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดกิน แทะจนหมดเหลือแต่กระดูกแล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่ สัตว์นรกตัวใดไม่ยอมไป ก็จะถูกนายนิริยบาลเอาแหลนไปเสียบแล้วมาขึ้นตั้งไว้อ ย่างเดิม
นรกขุม ใหญ่ ขุมที่ 7 มหาตาปะนรก
มีกำแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ
มารวมกันตรงกลาง มีภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก ก็จะมีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเข า วิ่งขึ้นไป พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะเต็ม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม
นายนิริยบาล ก็จะมาไล่ให้ขึ้นไปยอดเขาต่อไป
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก
พิเศษ กว่าทุกขุม คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
กระดูกแดงฉาน เนื่องจากถูกไฟเผาจนสุก ถูกให้ยืนกางแขนกางขา มีกำแพงปิดเฉพาะตัว 6 ทิศ มีหอกแทงทะลุตรึงไว้ทั้งหมด จากบนลงล่าง ซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง หลายสิบเล่ม จนไม่สามารถจะขยับได้เลยแม้แต่น้อย จำนวนสัตว์นรกที่อยู่ในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง 7 ขุม ที่กล่าวมาแล้วรวมกันทั้งหมดเสียอีก
โลกันตนรก
นรกขุมใหญ่ พิเศษสุด "โลกันตนรก" ไม่มีอายุ
หลังจากใช้กรรมจนหมดแล้ว จะต้องไปต่อที่อเวจีมหานรกต่อไปทันที
ลักษณะเป็นภูเขาที่ใหญ่โตประมาณมิ ได้ ภายในภูเขานั้น เป็นถ้ำขนาดใหญ่มาก
มีความเย็นจัดจนบอกไม่ถูก เป็นการทรมานสัตว์นรกด้วยความเย็น
ภายในถ้ำมีน้ำเป็นน้ำกรด แรงจัด และเย็นเฉียบ มีแต่ความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง สัตว์นรกทั้งหลายจะไต่ตามผนังข้างๆ ถ้ำ หินที่ผนังจะคมเป็นกรด
สัตว์ ทั้งหลายจะมองไม่เห็นกัน ต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว พอไต่มาพบกันก็จะนึกว่าเป็นอาหาร ก็กัดกินกันจนตกลงไปในน้ำ น้ำกรดก็จะกัดกร่อนทำลายเนื้อหนังจนหมดสิ้น เหลือแต่กระดูก ก็จะประกอบขึ้นมาเป็นร่าง ไต่ขึ้นมาตามผนังถ้ำใหม่อีกครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ จนหมดกรรม
*สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น
เหตุที่ทำให้มาเกิด เป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์
วิมาน ปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน
การ สังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
* มก. อุโปสถสูตร เล่ม 34 หน้า 382
เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหา ราชิกา
มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
เกิด บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
คือเมื่อครั้ง เป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต
หรือ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
เกิด บนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป
ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์ แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย
"บันทึกท่องนรกภูมิ"
ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมดังนี้มีโอกาสย่อมไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๑. เบียดเบียนชีวิตคนสัตว์ไม่เว้น เกิดเป็นสัตว์หนีการตามล่า
๒. กู้หนี้ยืมสินไม่ชดใช้คืน เป็นช้างม้าวัวควายใช้แรงงาน
๓. มักมากในกามราคะ ไม่รู้พอ เป็นสัตว์ผสมพันธุ์ไม่เลือกหน้า
๔. ปากเป็นอาวุธสร้างวจีกรรมหนำใจ เป็นสัตว์น้ำใช้ปากหายใจ
๕. มัวเมาในรสสุรายาเสพติด เป็นสัตว์ที่กินของสกปรก
๖. ทรยศต่อผู้มีพระคุณ ประเทศชาติบ้านเมือง
๗. เชื่อว่าตายแล้วยังได้เกิดมาเป็นคนอีกแม้ว่าทำชั่ว
๘. เชื่อว่าชีวิตสัตว์ไม่ได้มาจากคน คนตายแล้วก็จบสิ้น
๙. เข้าใจว่ากฎแห่งกรรมเป็นเรื่องงมงาย ชีวิตหลังความตายไม่มี
๑๐. เชื่อว่าการหนีเกิด พ้นตายเป็นเรื่องเกินความจริง (ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้า,อดีตชาติ)
มหานรกขุมที่๕
ขยายความเรื่อง : โทษทัณฑ์หนักเบาในนรกขุมต่
- กรณีศึกษาอดีตเจ้าของซ่อง ป๋าโต้ง ในชีวิตหลังความตาย 22.16 นาที
56 Kbps modem |
ยมโลก 320 ขุม จัดเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้ง 8 ขุม โดยแบ่งแยกดังนี้
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ สัญชีวมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ กาฬสุตตมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ สังฆาตมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ โรรุวมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ มหาโรรุวมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ ตาปนมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ มหาตาปนมหานรก 40 ขุม
- ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ อเวจีมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่ในทิศทั้ง4ของอุสทนรกทิศละ 10 ขุม มีชื่อที่เรียกเหมื่อนกันทั้งหมด มีชื่อต่างๆดังนี้
ยมโลกประจำทิศต่างๆทิศละ 10 ขุม
- ขุมที่1 โลหะกุมภีนรก ขุมนรกแห่งหม้อโลหะ
- ขุมที่2 สิมพลีนรก ขุมนรกต้นงิ้ว
- ขุมที่3 อสินขนรก ขุมนรกแห่งสัตว์ร้าย
- ขุมที่4 ตามโพทกนรก ขุมนรกน้ำทองแดงเดือด
- ขุมที่5 อะโยคุฬะนรก ขุมนรกก้อนทองแดงร้อน
- ขุมที่6 ปิสสกปัพพะตนรก ขุมนรกภูเขายนต์
- ขุมที่7 สุธนรก ขุมนรกแกลบไฟ
- ขุมที่8 สีตะโลสิตะนรก ขุมนรกน้ำกรดเย็น
- ขุมที่9 สุนขะนรก ขุมนรกพญาหมา
- ขุมที่10 ยันตะปสานนรก ขุมนรกแห่งภูเขาบด
-
....มหานรก ๘ ขุม..........
.......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการนี้ เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือ
บุคคลผู้มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และเป็นมิจฉาทิฎฐิ
ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
จากคุณ : foox - [ 27 เม.ย. 48 12:25:10 ]
|
|
|
|
ความคิดเห็นที่ 10
.......เมื่อสัตว์นรกดังกล่าวสิ้นใจตายก็กลับมาเกิดเป็นสัตว์
นรกอีก ต่างรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นไปเกาะขอบจักรวาล
ตามเดิมทนทรมานอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะครบช่วงหนึ่งพุทธันดร
ที่เป็นเช่นนี้เพราะทำกรรมบาปหยาบช้า มีความเห็นผิด
อกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นผู้มีดวงใจมืดบอด ใครทำคุณด้วยก็
มองไม่เห็น แถมยังทำร้ายผู้ทรงศีล ด้วยอำนาจกรรมนี้ ทำให้
ต้องมาอยู่ในสถานที่อันมืดมิดในโลกันตนรกนี้
..........................................................................
จับสัตว์นรกเฉือนเนื้อออก จนเหลือแต่กระดูก
|
|
-
__________________
โลกกันตนรก ขุมนรกที่ได้ชื่อว่าต่ำที่สุดของบรรดาขุมนรกทั้งหมด
นรกขุมตั้งอยู่ระหว่างกลางจักรวาลทั้ง3 ที่มาบรรจบกัน เป็นขุมนรกแห่งความมืด ไร้แสงสว่าง สัตว์นรกตัวใหญ่มาก อาศัยเกาะตามภูเขาในลักษณะหัวห้อยลงมา ถ้าตกลงมาจากภูเขาจะจมลงสู่ทะเลน้ำกรดเย็น ละลายร่างกายอันใหญ่ภายในชั่วพริบตา เมื่อตายแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ตามอำนาจกรรมที่เคยกระทำไว้ ด้วยความเย็นของทะเลน้ำกรดเขาจึง ตะเกียกตะกายขึ้นมาอยู่บนภูเขาอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนสิ้น 1พุทธันดร จึงพ้นกรรมไปเสวยทุกข์ในนรกขุมอื่นๆต่อไป แล้วกรรมที่เคยกระทำไว้
นรก คือ อะไร?
ตายแล้วไปไหน? สถาน ที่ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ 31 ภูมิ หาก อยากจะทราบว่าใครตายแล้วไปไหน หรือ อยากทราบว่า..ตัวเราเองเมื่อตายแล้วจะต้องไปอยู่ที่ใด ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เราชอบทำอย่างไร พอตายแล้ว ก็ต้องไปรับผลแห่งการกระทำ ของตนเองอย่างนั้น เรียกได้ว่า “ตายแล้ว ก็ไปสู่ที่ชอบ...ที่ชอบ”
นรกขุมที่ 1 สัญชีวนรก
สัญชีวนรก ขุมนรกไม่มีวันตาย สัตว์นรกมีอายุ 500 ปี 1 วันนรกขุมนี้เท่ากับ 5 ล้านปีมนุษย์ เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบบี้มดตบยุงเป็น ประจำ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกัน รวมทั้ง ฆ่าตัวตายด้วย
นรกขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
กาฬสุตตนรก ขุมนรกบรรทัดดำ สัตว์นรกมีอายุ1,000ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบลักขโมย ฉ้อโกง
นรกขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
สังฆาฏนรก ขุมนรกภูเขาขยี้กาย สัตว์นรกมีอายุ 2,000 ปี 1วันนรกขุมนี้ เท่ากับ 145 ล้านปี เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบประพฤติผิดในกาม
นรกขุมที่ 4 โรรุวนรก
โรรุวนรก ขุมนรกร้องไห้ สัตว์นรกมีอายุ 4,000 ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 234 ล้านปีมนุษย์ เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ
นรกขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
มหาโรรุวนรก ขุมนรกร้องดังสนั่น สัตว์นรกมีอายุ 8,000 ปีนรก 1วันนรกเท่ากับ 9,216 ล้านปี เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมา ยาเสพติด
นรกขุมที่ 6 ตาปนนรก
ตาปนนรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อน สัตว์นรกมีอายุ16,000ปี 1วันนรกเท่ากับ 184,212 ล้านปี เป็นสถานที่สำหรับพวกชอบมัวเมาในอบายมุข เล่นการพนัน
นรกขุมที่ 7 มหาตาปนนรก
มหาตาปนนรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนยิ่ง สัตว์นรกมีอายุ ครึ่งกัป เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบผิดศีลทั้ง 5 ข้อ รวมทั้งเล่นการพนัน
นรกขุมที่ 8 อเวจีนรก
อเวจีนรก ขุมนรกแห่งไฟ สัตว์นรกมีอายุ 1 กัป เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ทำอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าบิดา มารดา ครูอาจารย์ ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกกัน หรือทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระ
มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด
อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆ มหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มี 128 ขุม
ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรก มี 320 ขุม รวมทั้งหมด นรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุที่มีเขาตรีกูฏ 3 ลูก รองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล
สภาพของมหานรก
มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆ เท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ คือ พอ มองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรก ก็ ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบ กันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลกเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้นคือ ส่วนเต็มๆ ของกรรม
ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คืออดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำ กรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำเมื่อตายแล้ว กระแสบาป จะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไป ยมโลก สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของ บาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืด เหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000 ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1 อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก
อุสสทนรก
เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมาน ก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้ เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ในอุสสทนรกเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป
ยมโลก
เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอก อุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้วยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ
1. เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก ว่าจะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น
2. เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น
3. หากมีมนุษย์ผู้ใดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ใน ภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคน ในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับ ภพภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียด ที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
เมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญ ก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิต ไม่ถึงกับเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ผ่องใส หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว
ในระหว่าง 7 วันนั้น ถ้ากาย ละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคย ทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไป เกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7 วัน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอก แหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน ซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรกหลายล้านเท่า
ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงรายถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อน แรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึง บุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ ลงทัณฑ์ทรมาน มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียวหรือ ดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าชอบทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนา หรือชอบ บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ ก็จะมีสวรรค์ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น เป็นที่ไปเสวยผลบุญหลังจากละสังขารในโลกมนุษย์แล้ว
สำหรับคนที่เป็นประเภทวัดก็เข้า เหล้าก็กิน บุญก็ทำบาปกรรมก็สร้าง อย่าง นี้ก็ต้องไปประเมินผลกันตอนใกล้จะละโลก อีกที ช่วงนั้นเรียกว่า “ศึกชิงภพ” ขึ้นอยู่ว่า บุคคลผู้นั้น มีจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งที่เป็น บุญหรือเป็นบาป ถ้านึกถึงบุญได้ จิตผ่องใส ในขณะสิ้นลม ก็ได้ไปสู่สุคติภูมิก่อน (แล้ว บาปกรรมที่ทำไว้จะตามมาส่งผลในภายหลัง) แต่ถ้าช่วงนั้นใจนึกถึงสิ่งที่ทำไม่ดีไว้ จิตใจเศร้าหมองในขณะสิ้นลม ก็จะไปสู่ ทุคติภูมิก่อน (แล้วผลบุญตามมาส่งผลใน ภายหลัง)
นรก ขุมนรก
นรก ตารางเปรียบเทียบ ประเภทนรก ขุมใหญ่เรียงลำดับจากเบาไปหนัก
ขุมที่ ชื่อ อายุนรก เปรียบเทียบจำนวนวัน หมายเหตุ
1 สัญชีพนรก 500 ปี 1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์
2 กาฬปุตตะนรก 1,000 ปี 1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์ 36,000 ล้านปีมนุษย์
3 สังฆาฏนรก 2,000 ปี 1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์
4 โรรุวนรก 4,000 ปี 1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์ 936,000 ล้านปีมนุษย์
5 มหาโรรุวนรก 8,000 ปี 1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์
6 ตาปะมหานรก 16,000 ปี 1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000
ล้านปีมนุษย์
7 มหาตาปะนรก 1/2 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
8 อเวจีมหานรก 1 กัป ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ได้
พิเศษ โลกันตนรก ไม่มีอายุ เป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตำรา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป
ความหมายของ 1 ปีนรก
1 ปี มี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์
ความหมายของ 1 กัป
สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์
บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม เวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด
จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป
นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ 10
เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ กรรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ
เมื่อเสร็จสิ้นจากขุมใหญ่แต่ละขุม ต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุมก่อน
แล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้งว่ามีกรรมเหลือเท่าไร
จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุม ใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีวนรก
ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบก็ เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด
สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน นายนิริยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป นำเส้นบรรทัดมาตีเป็นเส้นที่ตัว จากหัวถึงท้ายบ้าง ตีตามขวางบ้าง ไม้บรรทัดนั้นทำจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงโชน มื่อตีเส้นเป็นแนวแล้ว ก็จะนำเลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดอีโต้บ้าง มาสับลงตามรอยที่ตีไว้แล้วนั้น
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน เมื่อถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 4 โรรุวนรก
มีกำแพงเหล็ก 4 ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา ไม่มีนายนิริยบาล สัตว์นรกจะถูกกรรมทำให้ต้องเอาหัวมุดลงไปในดอกบัว มือและขาก็จะจุ่มลงไปเช่นกัน กลีบบัวจะงับเข้ามาหนีบขาไว้ถึงข้อเท้า หนีบมือไว้ถึงข้อมือ ส่วนหัวจะหนีบไปถึงคาง เพื่อให้ไฟนั้นเผาอยู่ตลอดเวลา
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาว ปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น
เผา ไฟจนแดงโชน แต่ดอกบัวนี้จะไม่งับแน่นนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวทั้งหลายจะร้อน และดิ้นไปโดนกลีบบัว เมื่อกระทบกลีบบัวก็จะขาดตกลงมา
ถูกแหลนหลาวข้างล่างแทงรับไว้ แต่เนื่องจากแหลนหลาวนั้นเป็นไฟลุกแดง จึงทำให้เนื้อตัวของสัตว์นรกนั้นลุกร้อนเป็นไฟ ตกลงมาที่พื้น เมื่อตกถึงพื้น ก็จะมีหมาที่คอยกัดกินจนเหลือแต่กระดูก จนหมดเกลี้ยง แล้วก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นกายใหม่ จากนั้นนายนิริยบาลก็จะบังคับไล่แทงให้ไปอยู่บนดอกบั วต่อไปอีก
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 6 ตาปะมหานรก
แสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มีความร้อนจัด สัตว์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน และพื้นเป็นเหล็กร้อน แดงฉาน มีแหลนหลาวไฟลุกแดงโชน พุ่งมาเสียบเอาสัตว์นรกแล้วเอาขึ้นตั้งไว้ พอไฟไหม้เนื้อหนังหล่นลงมา สัตว์นรกก็จะหล่นลงมาด้วย ก็จะถูกสุนัขขนาดใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดกิน แทะจนหมดเหลือแต่กระดูกแล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่ สัตว์นรกตัวใดไม่ยอมไป ก็จะถูกนายนิริยบาลเอาแหลนไปเสียบแล้วมาขึ้นตั้งไว้อ ย่างเดิม
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 7 มหาตาปะนรก
มีกำแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ
มา รวมกันตรงกลาง มีภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก ก็จะมีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเข า วิ่งขึ้นไป พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะเต็ม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม
นายนิริยบาลก็จะมาไล่ให้ขึ้นไปยอดเขาต่อไป
|
|
นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก
พิเศษกว่าทุกขุม คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
กระดูกแดงฉาน เนื่องจากถูกไฟเผาจนสุก ถูกให้ยืนกางแขนกางขา มีกำแพงปิดเฉพาะตัว 6 ทิศ มีหอกแทงทะลุตรึงไว้ทั้งหมด จากบนลงล่าง ซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง หลายสิบเล่ม จนไม่สามารถจะขยับได้เลยแม้แต่น้อย จำนวนสัตว์นรกที่อยู่ในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง 7 ขุม ที่กล่าวมาแล้วรวมกันทั้งหมดเสียอีก
|
|
โลกันตนรก
นรกขุมใหญ่ พิเศษสุด "โลกันตนรก" ไม่มีอายุ
หลังจากใช้กรรมจนหมดแล้ว จะต้องไปต่อที่อเวจีมหานรกต่อไปทันที
ลักษณะเป็นภูเขาที่ใหญ่โตประมาณมิได้ ภายในภูเขานั้น เป็นถ้ำขนาดใหญ่มาก
มีความเย็นจัดจนบอกไม่ถูก เป็นการทรมานสัตว์นรกด้วยความเย็น
ภายในถ้ำมีน้ำเป็นน้ำกรด แรงจัด และเย็นเฉียบ มีแต่ความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง สัตว์นรกทั้งหลายจะไต่ตามผนังข้างๆ ถ้ำ หินที่ผนังจะคมเป็นกรด
สัตว์ ทั้งหลายจะมองไม่เห็นกัน ต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว พอไต่มาพบกันก็จะนึกว่าเป็นอาหาร ก็กัดกินกันจนตกลงไปในน้ำ น้ำกรดก็จะกัดกร่อนทำลายเนื้อหนังจนหมดสิ้น เหลือแต่กระดูก ก็จะประกอบขึ้นมาเป็นร่าง ไต่ขึ้นมาตามผนังถ้ำใหม่อีกครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ จนหมดกรรม
|
|
|
|
|
อายุ เกณฑ์อายุของสัตว์ที่เกิดในอเวจีนรกโลกนี้ มีประมาณหนึ่งอันตรกัป
บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ได้ทำอนันตริยกรรม ซึ่งได้แก่กรรมอย่างหนักอย่างยิ่ง ๕ ประการ คือ
๑. ฆ่ามารดาของตัวเองให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
๒. ฆ่าบิดาตัวเองให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
๓. ฆ่าพระอรหันต์ให้ตายเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่า
๔. ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
๕. ทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกแยกกัน
ทำอนันตริยกรรม ๕ ประการนี้แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้นแตกกายทำลายขันธ์จึงต้องมาเสวยทุกข์อยู่ในนรกขุมนี้ ยกตัวอย่าง
เช่น พระเทวทัตผู้ต้องอนันตริยกรรมครั้งพุทธกาล ซึ่งเรื่องของท่านปรากฏมีในพระธรรมบทคัมภีร์ดังต่อไปนี้
พระเทวทัต
พระเทวทัตนี้ เราท่านยอมรับทราบกันดีว่า ท่านเป็นคู่เวรคู่อาฆาตกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งมีชีวิตอยู่
ทั้งๆ ที่บวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระพุทธองค์ ด้วยความหลงผิด จึงได้ก่อกรรมชั่วนานาประการถึงขั้นอนันตริยกรรม คือ กลิ้งหินลงมาจากยอดเขา หวังจะให้ทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สิ้นพระชนมชีพ แต่ด้วยพระพุทธานุภาพ พระองค์ก็หาสิ้น พระชนม์ไม่ เพียงแค่สะเก็ดหินมากระทบพระบาททำให้ห้อพระโลหิตเท่านั้น ที่เป็นเพียงแค่นี้ก็เพราะว่าพระวรกายขององค์ พระพุทธเจ้าเป็น อเภทกาย คือ เป็นพระวรกายที่ใครจะทำร้ายให้แตกสลายไปไม่ได้ ถึงกระนั้นกรรมของพระเทวทัตก็ถึงขั้น
อนันตริยกรรม นำให้มาเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้แล้ว ฉะนั้น พอท่านดับจิตตาย ก็ตรงดิ่งมาสถานที่นี่ เกิดเป็นกายสัตว์นรก อเวจีสูงยอดเยี่ยมได้ ๓00 โยชน์ ยืนนิ่งไม่ไหวติงเสวยทุกข์อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมศีรษะเข้าไปในเพดานแค่หู ฝ่ายข้างเท้าก็จมลึก เข้าไปพื้นเหล็กแค่ข้อเท้า มีหลาวเหล็กเท่าต้นตาลขนาดใหญ่ แทงจากข้างหลังทะลุข้างหน้า โดยที่ปลายเหล็กทั้งสองข้างติดอยู่ ที่ข้างฝา แล้วยังหลาวเหล็กอีกกันหนึ่ง เสียบตั้งแต่ศีรษะทะลุมากลางลำตัว โดยที่ปลายเหล็กข้างหนึ่งติดอยู่บนเพดาน อีกข้าง หนึ่งจดพื้น พระเทวทัตถูกเหล็ก ๓ อันตรึงให้ยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้กระทำความผิดต่อพระพุทธองค์ผู้ไม่ทรง
หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งมวล ซึ่งนับเป็นความผิดขั้นอุกฤษ์ นอกจากจะถูกตรึงด้วยหลาวเหล็กดังกล่าวแล้ว ยังต้องถูกไปนรก
ไหม้ ทั้งๆ ที่ถูกตรึงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แม้จนขณะที่ยังเสวยทุกข์โทษอยู่เช่นนั้น ณ อเวจีมหานรกเพราะอนันตริยกรรมนี้
ใครทำเข้า ผู้นั้นย่อมเป็นนิยโตบุคคล เที่ยงแท้ที่จะต้องไปตกในมหานรกอเวจี
อนึ่ง เมื่อเป็นมนุษย์ได้เคยทำครุกรรม คือ กรรมหยาบช้า เช่น บุตรธิดาทุบตีประหารบิดามารดา แต่ท่านยังไม่ตาย ต่อมาภายหลังจึงตายด้วยโรคที่ทุบตีนั้น เช่นนี้ก็จัดเป็นครุกรรมหรือมิฉะนั้น บุคคลที่ประหารทุบตีพระอรหันต์ผู้ทรงคุณ อันประเสริฐ ก็อาจนำให้ไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้ เพราะเป็นครุกรรม ยกตัวอย่าง เช่น นันทยักษ์ผู้มีจิตโมหันธ์ ล่วงอนัน ตริยกรรม แล้วไปเกิดในมหานรกอเวจี ปรากฏตามเรื่องดังต่อไปนี้
นันทยักษ์
นันทยักษ์ตนนี้ เพื่อนมีกระบองวิเศษเป็นอาวุธประจำตัว คืนหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือนหงายแจ่มกระจ่างฟ้า นันทยักษ์ เหาะล่องลอยมาบนนภากาศพร้อมกับสหายตนหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางมาโดยนภากาศเบื้องบนอย่างสำราญใจนั้น สายตา เหลือบลงมาข้างล่าง แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังนั่งนิ่งศีรษะมีรัศมีเป็นมันละเลื่อมรับกับแสง จันทร์วันเพ็ญ เพราะเพิ่งปลงผม ใหม่ๆ นันทยักษ์เกิดความคิดวิตถารด้วยความคึกคะนองใจ ใคร่จะลองกระบองอันเรืองฤทธิ์ของตนให้เพื่อนชม แม้เพื่อนจะห้าม ปรามก็ไม่เชื่อฟัง เหาะลอยละลิ่วลงมาพอได้ระดับ ได้ท่าถนัดดีแล้วก็หวดกระบองวิเศษลงไปบนศีรษะของพระภิกษุรูปนั้นสุด แรงเกิด คราทีนั้นด้วยอำนาจครุกรรมอันแรงกล้านันทยักษ์ก็ถูกธรณีสูบ ขาดใจตายลงไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ เพราะกรรมที่ ตนทำด้วยความคึกคะนองใจนั้นเป็นกรรมหนักมาก โดยที่ตนหาทราบไม่ว่าพระภิกษุรูปนั้น คือ พระสารีบุตรมหาเถระ องค์ อัครสาวกผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งตามธรรมดา ท่านเป็นพระอรหันต์ ใครทำร้ายก็มีโทษหนัก อยู่แล้ว ยิ่งท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติใครประทุษร้ายก็ยิ่งมีโทษหนักขึ้น แท้จริงพระอริยเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งกำลัง เข้านิโรธสมาบัติอยู่นั้น แม้ใครจะฟันด้วยดาบจะแทงด้วยหอกด้วยหลาว หรือยิงด้วยปืนด้วยธนู และจะทำร้ายด้วยศาสตราวุธ
ใดๆ ก็ดี สรีระอินทรีย์จะได้ทำลายแตกพังก็หามิได้เลย แต่ถ้าใครประทุษร้ายในขณะนั้นย่อมมีโทษมาก ไม่ว่าผู้ทำร้ายจะเป็น
คนหรือสัตว์ก็ตาม มีตัวอย่างเช่น กาพาลสัตว์เดียรัจฉาน ตามเรื่องที่ปรากฏในพระคัมภีร์ในทางพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
กาพาล
ยังมีนางภิกษุณีรูปหนึ่งทรงคุณประเสริฐเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่มาวันหนึ่งท่านหลีกเร้นออกจากหมู่เข้าไปในป่า เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีกิ่งก้านสาขาใบดกหนาร่มรื่นดี จึงเข้าไปนั่งเข้านิโรธสมาบัติภายใต้ต้นไม้นั้น ตามวิสัยของพระอริยเจ้า ทั้งหลาย กาตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เบื้องบน แลลงมาข้างล่างเห็นภิกษุณีนั้นนั่งนิ่ง ก็เกิดความคิดสกปรกขึ้นมาว่า " เรา จักแกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะของคนคนนี้ " แล้วพยายามถ่ายอุจจาระก้อนแล้วก้อนเล่าจนถูกศีรษะของท่านจนได้ พออุจจาระ ของกาถูกศีรษะ บังเอิญท่านออกจากนิโรธสมาบัติพอดี จึงแหงนขึ้นไปดูก็รู้ว่า " กาตัวนี้แกล้งถ่ายอุจจาระรดศีรษะเรา" คิด แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินจากไป พอท่านไปคล้อยหลังเท่านั้น กาโง่ตัวคิดวิตถาร ก็มีอันตกลงมาขาดใจตายไปเกิดในอเวจีมหานรก ทันที ที่กล่าวมานี้เพื่อแสดงว่าบาปกรรมที่ทำแก่พระอรหันต์ผู้กำลังเข้านิโรธ สมาบัตินั้น มีผลรุนแรงร้ายกาจเพียงไร
ลำดับนี้จะกล่าวถึงบุรพกรรมของสัตว์ในอเวจีมหานรกต่อไป ผู้ที่ประกอบกรรมทำชั่วร้ายอันเป็นครุกรรมคือกรรมที่
หนัก ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ลักขโมยหรือปล้นของสงฆ์ ของเจดีย์ ของพระพุทธ ทำลายโบสถ์วิหาร ศาลา กุฏิที่อยู่ของสงฆ์ ทุบตีผู้มีศีล ปู่ย่าตายาย พูดส่อเสียดยุยงให้สงฆ์วิวาทกัน บุกรุกที่นา ที่ไร่สวน ที่บ้านของผู้อื่นเอามาเป็นของตน ฆ่าผู้มีศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่ ติเตียน ด่าว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตีด่าท่านผู้มีคุณ คือพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เหล่านี้จัดเป็นครุกรรม โทษถึงตก นรกอเวจี แต่ว่าไม่เที่ยงแท้เหมือนอนันตริยกรรม
อนึ่ง ผู้ที่แสดงตนเป็นทายก เที่ยวเรี่ยไรบอกบุญหลอกเอาทรัพย์เขามาว่าจะทำกุศล แต่ไม่ทำ ไม่สร้าง กลับมาเอามา แบ่งปันกันเลี้ยงตน เลี้ยงบุตรภรรยา มีโลภเจตนาคิดแต่จะได้ บาปกรรมเหล่านี้จัดเป็นครุกรรม นำมาให้เกิดในอเวจีมหานรก
นี้ได้
อนึ่ง คนโฉดเขลาใจเบามีโทสะ ประพฤติเป็นโจรเป็นเสือ คอยปล้นทรัพย์ผู้อื่นเอามาเลี้ยงชีวิต ทำทุจริตผิดศีลธรรม เพราะใจชั่วช้าลามก เป็นคนรกโลก อย่างนี้ก็จัดเป็นครุกรรม ทำให้มาเกิดในอวเจีมหานรกเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น ยังมีกรรมอีกประเภทหนึ่ง คืออาจิณกรรมหรือบาปกรรมที่ทำอยู่เนืองนิตย์ก็อาจผลิตผลส่งให้คนทำลงมา เกิดในอเวจีมหานรกได้ เช่นอย่างไร? เช่นว่าประพฤติตนเป็นคนทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์อยู่เสมอทุกๆ วัน อทินนาทาน การลัก
ว่าด้วยเรื่อง นรก-สวรรค์ แบ่งเป็นกี่ชั้น.
สวรรค์ หรือวิมานของเทพยดามี ๖ ชั้น เรียกว่า ฉกามาพจร
๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร ซึ่งเป็นภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่สูงกว่าแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์ มีเมือง ๔ เมือง มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ ๔๐๐,๐๐๐ วา กำแพงล้อมรอบประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน แผ่นดินเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม ราบเรียบเหมือนหน้ากลอง เหมือนปูด้วยผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นถ้าเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ น้ำใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว ๕ ชนิดบานสะพรั่ง น้ำมีกลิ่นหอมราวกับอบไว้ มีดอกไม้ต้นไม้งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อยตลอดปี
เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด
จาตุมหา ราชิกา มีเทพยดาผู้เป็นใหญ่ คือ พระยาจตุโลกบาล ปกครองเหล่าเทพยดา ครุฑ นาค และยักษ์ทั้งหลาย คือ ท้าวธตรฐ ทิศตะวันออก ท้าววิรูปักข์ ทิศตะวันตก ท้าววิรุฬหก ทิศใต้ ท้าวไพรศรพณ์ ทิศหนือ
ผู้เกิดเป็นเทพยดาได้ ต้องกระทำบุญไว้มากพอ
๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงษา เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ สวรรค์ชั้นนี้ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมืองชื่อไตรตรึงษ์ มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตูมียอดปราสาทแก้วงดงามวิจิตรพิสดารเวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี
กลางนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๙ ประการ เป็นที่ประทับของพระอินทร์
ทิศ ตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ นิภาวัน มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณีน้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ นันทปริฐิปาสาณ และ จุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง เวลาจับต้องจะนุ่มราวกับแผ่นหนังเหน
ทิศใต้ มีอุทยาน ผารุสกวัน (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ ภัทรโบกขรณี สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม
ทิศตะวันตก มีอุทยานจิตรลดา อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระ จิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ
ทิศ เหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงามราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสาระใหญ่ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี แผ่นดินแก้วชื่อ ธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ
ทิศตะวันออก มีสวนใหญ่ ชื่อ มหาพน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า
ที่ เขาพระสุเมรุ มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อช้างเอราวัณ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง
ในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์นี้ยังมีคำอธิบายความงามมหัศจรรย์พันลึกมาก เช่น มีสระ มีพระจุฬามณีเจดีย์ มีต้นปาริชาต (ดอกทองหลาง) ๑๐๐ ปี ดอกจึงจะบาน ดอกที่บานมีแสงสว่างรุ่งเรืองแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา
๓. สวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปจากดาวดึงส์ ๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีอุทยานแก้ว สระโบกขรณี เทวดาในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรือง กายสูง ๘,๐๐๐ วา ผู้เป็นใหญ่คือ ท้าวสยามเทวราช ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะอยู่สูงมาก เทวดามองเห็นสรรพสิ่งได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีกายของเทวดาเอง จะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ ดูได้จากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้บาน คือรุ่งเช้า ถ้าหุบเป็นเวลากลางคืน อายุเทพยดาในชั้นฟ้านี้ยืนถึง ๒๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ในเมืองมนุษย์
๔. สวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปจากยามา ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีความกว้างและสูงกว่าในสวรรค์ชั้นยามา มีสระ สวนสนุกยิ่งใหญ่งดงามรื่นรมย์เหมือนสวร
รค์ชั้นอื่นๆ ผู้เป็นใหญ่ชื่อ พระสันดุสิตเทพยราช เทพยดาในชั้นนี้ รู้บุญ รู้ธรรม พระโพธิสัตว์ก่อนเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็สถิตสร้างสมบารมีในชั้นฟ้านี้ อายุเทวดาในชั้นนี้ ยืน ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีเมืองมนุษย์
๕. สวรรค์ชั้นนิมมานนรดี สูงขึ้นไปอีก ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีสิ่งอำนวยความสุขเหมือนทุกชั้น มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เทพยดาในชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ตามความพอใจ
๖. สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลาย หากปรารถนาสิ่งใด เช่น อาหารทิพย์ ก็จะมีเทพยดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้ทุกประการ สวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ คือ ปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และพระยามาราธิราชเป็นใหญ่ฝ่ายมาร
การสิ้นชีวิตของเทพยดา มี ๔ อย่าง
๑. อายุขัย ได้แก่ สิ้นชีวิตตามอายุในชั้นฟ้านั้น
๒. บุญญขัย สิ้นบุญก่อนถึงกำหนดอายุขัยในชั้นฟ้านั้น
๓. อาหารขัย สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร
๔. โกธาพละ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ ซึ่งหัวใจจะกลายเป็นไฟไหม้ตนเอง
ก่อนเทพยดาจะจุติ (สิ้นชีวิต) จะมีนิมิต ๕ ประการ คือ
๑. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยวและไม่หอม
๒. ผ้าทรงดูหม่นหมอง
๓. อยู่ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหลจากรักแร้
๔. อาสนะร้อนและแข็งกระด้าง
๕. กายของเทพยดานั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี
เรื่อง สวรรค์เป็นเรื่องของความเชื่อ ซึ่งคนโบราณมุ่งจะปลูกฝังสั่งสอนให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่กระทำบาป คือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อให้ได้เป็นเทวดาเสวยสุขสมบัติ
นรกภูมิ
หาก ไม่มีพระพุทธเจ้าในโลกนี้ สัตวทั้งหลายในสังสารวัฏนี้จะรู้ได้อย่างไรว่ามี ภูมิที่น่าสพึงกลัวถึงเพียงนี้อยู่ ข้อนี้นับเป็นพระมหากรุณา ของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งที่ทรงตรัส ชี้ทางให้ สัตว์โลกทั้งหลายตั้งมั่น อยู่ในกุศลธรรม นรกคือ ภูมิที่มีแต่ทุกข์ไม่มีกุศลจิต เกิดขึ้นเลยในระหว่างที่เสวยทุกข์อยู่ ท่านลองคิดดูว่า เราต้องอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ทุกข์กายและใจ ตลอดเวลาไม่มีเว้นเลย นรกนั้นทุกข์นัก การไปเกิดที่นั้นกว่าจะได้หลุดมา นานนักหนาเพราะอายุของ สัตว์นรกยาวนานมาก นรกเป็นดินแดนของจิตที่มีแต่อกุศล สิ่งที่นำสัตว์ไปเกิดก็คือสิ่งที่สัตว์นั้นกระทำนั้นเอง ไม่ใช่อยู่ดีก็โชคร้ายได้ไปเกิดที่นั้น พวกเราทั้งหลายที่เสวยชาติขณะที่เป็นมนุษย์นี้ นับว่ามีบุญมากแล้ว ควรจะใช้โอกาสนี้ในการ สร้างกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไป อย่าได้ประมาทในวัย จงมีความตั้งมั่นในคำสอนของพระพุทธ เจ้าเถิด อย่าทำปาบ จงทำบุญ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว สาธุ ขออนุโมทนา
นรกภูมิในพระพุทธศาสนา
นรก แบ่งเป็นขุมๆตามอำนาจของกรรมที่เหล่าสัตว์โลกกระทำไว้บันดาลให้เกิดขึ้น นรกมีทั้งหมด 457 ขุม เยอะมากถ้าเทียบกับ สุขคติภูมิ26 ชั้น แสดงว่าสัตว์โลกกระทำปาบมากกว่าบุญมาก ที่อยู่ของสัตว์นรกจึงเยอะกว่ามาก นรกจะขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุดตามจำนวนที่มากขึ้นของสัตว์นรก ฉะนั้นนรกไม่เหมื่อนคุกที่มีวันเต็ม นรกไม่มีทางเต็มเลย นรกแบ่งตามอำนาจของกรรมดังนี้
มหานรก 8 ขุม
อุสสทนรก 128 ขุม
ยมโลก 320 ขุม
โลกกันตนรก 1 ขุม
มหานรก 8ขุม
สัญชีวมหานรก ขุมนรกไม่มีวันตาย สัตว์นรกมีอายุ 500 ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 5ล้านปีมนุษย์
กาฬสุตตมหานรก ขุมนรกบรรทัดดำสัตว์นรกมีอายุ1,000ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 36ล้านปีมนุษย์
สังฆาตมหานรก ขุมนรกภูเขาขยี้กาย สัตว์นรกมีอายุ 2,000 ปี 1วันนรกขุมนี้ เท่ากับ 145 ล้านปี
โรรุวมหานรก ขุมนรกร้องไห้ สัตว์นรกมีอายุ 4,000 ปี 1วันนรกขุมนี้เท่ากับ 234 ล้านปีมนุษย์
มหาโรรุวมหานรก ขุมนรกร้องดังสนั่น สัตว์นรกมีอายุ 8,000 ปีนรก 1วันนรกเท่ากับ 9,216 ล้านปี
ตาปนมหานรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนสัตว์นรกมีอายุ16,000ปี 1วันนรกเท่ากับ 184,212 ล้านปี
มหาตาปนมหานรก ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนยิ่ง สัตว์นรกมีอายุ ครึ่งกัป
อเวจีมหานรก ขุมนรกแห่งไฟ สัตว์นรกมีอายุ 1 กัป
อุสทนรก128ขุม เป็นบริวารของมหานรกทั้ง8โดยแบ่งแยกดังนี้
อุสทนรกอยู่รอบ สัญชีวมหานรก 16ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ กาฬสุตตตมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ สังฆาตมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ โรรุวมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ มหาโรรุวะมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ ตาปนมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ มหาตาปนมหานรก 16 ขุม
อุสทนรกอยู่รอบ อเวจีมหานรก 16 ขุม
อุ สทนรก128 ขุม ร่ายรอบมหานรกทั้ง8โดยอยู่ประจำทั้ง4ทิศ ทิศละ4ขุม มีชื่อเรียกเหมื่อนกันทั้งหมด ไม่กล่าวถึงอายุของสัตว์นรกที่ต้องเสวยทุกข์ ในอุสทนรกอย่างชัดเจน นรกขุมนี้มีชื่อเรียกดังนี้
คูถนรก ขุมนรกเห่งขี้เน่า
กุกกุฬนรก ขุมนรกแห่งเถ้ารึง
อสิปัตตนรก ขุมนรกมะม่วงเหล็กมหาภัย
เวตรณีนรก ขุมนรกน้ำกรด
ยมโลก 320 ขุม จัดเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกทั้ง 8 ขุม โดยแบ่งแยกดังนี้
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ สัญชีวมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ กาฬสุตตมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ สังฆาตมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ โรรุวมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ มหาโรรุวมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ ตาปนมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ มหาตาปนมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่รอบ อุสทนรกใกล้ อเวจีมหานรก 40 ขุม
ยมโลกอยู่ในทิศทั้ง4ของอุสทนรกทิศละ 10 ขุม มีชื่อที่เรียกเหมื่อนกันทั้งหมด มีชื่อต่างๆดังนี้
ยมโลกประจำทิศต่างๆทิศละ 10 ขุม
ขุมที่1 โลหะกุมภีนรก ขุมนรกแห่งหม้อโลหะ
ขุมที่2 สิมพลีนรก ขุมนรกต้นงิ้ว
ขุมที่3 อสินขนรก ขุมนรกแห่งสัตว์ร้าย
ขุมที่4 ตามโพทกนรก ขุมนรกน้ำทองแดงเดือด
ขุมที่5 อะโยคุฬะนรก ขุมนรกก้อนทองแดงร้อน
ขุมที่6 ปิสสกปัพพะตนรก ขุมนรกภูเขายนต์
ขุมที่7 สุธนรก ขุมนรกแกลบไฟ
ขุมที่8 สีตะโลสิตะนรก ขุมนรกน้ำกรดเย็น
ขุมที่9 สุนขะนรก ขุมนรกพญาหมา
ขุมที่10 ยันตะปสานนรก ขุมนรกแห่งภูเขาบด
โลกกันตนรก ขุมนรกที่ได้ชื่อว่าต่ำที่สุดของบรรดาขุมนรกทั้งหมด
นรก ขุมตั้งอยู่ระหว่างกลางจักรวาลทั้ง3 ที่มาบรรจบกัน เป็นขุมนรกแห่งความมืด ไร้แสงสว่าง สัตว์นรกตัวใหญ่มาก อาศัยเกาะตามภูเขาในลักษณะหัวห้อยลงมา ถ้าตกลงมาจากภูเขาจะจมลงสู่ทะเลน้ำกรดเย็น ละลายร่างกายอันใหญ่ภายในชั่วพริบตา เมื่อตายแล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ตามอำนาจกรรมที่เคยกระทำไว้ ด้วยความเย็นของทะเลน้ำกรดเขาจึง ตะเกียกตะกายขึ้นมาอยู่บนภูเขาอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนสิ้น 1พุทธันดร จึงพ้นกรรมไปเสวยทุกข์ในนรกขุมอื่นๆต่อไป แล้วกรรมที่เคยกระทำไว้
แหล่งข้อมูล
http://www.tteen.net/view.php?time=20040813004421 นรกโดยละเอียด
http://www.banfun.com/buddha/narok1.html รายละเอียดของนรกแต่ละขุม
http://www.buddhism-online.org/Section06A_07.htm การทำบาปส่งไปนรกขุมไหน
http://buddhism-online.org/Section07A_02.htm อกุศลกรรมบท10