ภาพ คลิปวีดีโอ อสุภะ + อุบัติเหตุ
ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย (ผู้ที่ตกใจง่ายห้ามเข้า ! ! !)
ความตาย..เป็นสถานีสุดท้ายของชีวิต มีท่านผู้รู้ได้นิยามชีวิตไว้ว่า“ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง ความตายคือที่สุดของความเปลี่ยนแปลง” เป็นสภาวะหรือธรรมชาติที่ไม่เคยรับฟังคำวิงวอนหรือขู่ตวาดของใคร ๆ เหมือนตะวันตกก็คือที่สุดของตะวันออก..ไม่มีศาสดาผู้วิเศษคนใด จะใช้อำนาจความวิเศษของตนเปลี่ยนแปลงกฎของธรรมชาติให้โลกมีกลางวันตลอดกาล ได้“ตะวันขึ้นแล้วก็ตก ชีวิตเกิดแล้วก็ตาย"
ตะวัน ขึ้นแล้วก็ตก คนเราได้เห็นจำเจอยู่ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่เห็นว่ากลางวันมีค่ากว่ากลางคืน เราต่างก็มีจิตใจปรกติต่ออาการของดวงตะวัน ขึ้น-ตกอยู่ทุกวัน การขึ้น-ตกของดวงตะวัน ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีใจเสียใจอย่างไรเลย ส่วนอาการของชีวิต เกิดแล้วก็ตายนี้ เราส่วนมากมิอาจจะรักษาใจให้เป็นปรกติได้ เพราะอะไร ?
การ ที่เราไม่ตกใจ เสียใจ ที่เห็นดวงตะวันตกดิน ก็น่าจะด้วยเหตุ ๒ ประการ ๑)เห็นทุกวัน ๒)ช่วงเวลาขึ้น-ตกของตะวันเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ (กลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง) การที่เห็นทุกวันนั้น ย่อมทำให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
การรู้การเห็น “ธรรมดา” มีคุณรักษาใจคนให้เป็นปรกติได้ หลักสูตรการศึกษาซึ่งมีวิชาการหลายแขนง ก็ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะเข้าถึง “ธรรมดา” อันเป็นแก่นแห่งวิชาการนั้น ๆ การเรียนจึงต้องอาศัยการทำบ่อย ๆ เพื่อให้เข้าใจถึง “ธรรมดา” อันเป็นหลักวิชาการแต่ละแขนง พอถึงแก่นแห่งวิชาแล้วก็เกิดเป็นปรกติภาพ คือ สงบ เพราะเห็นหลักธรรมดาแล้วนั่นเอง ฉะนั้น การเห็นบ่อย ๆ รู้บ่อย ๆ จึงมีประโยชน์มาก
ใน อาการของชีวิต เกิดแล้วตาย ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็น่าที่คนเราจะรักษาปรกติภาพไว้ได้ เพราะมีให้ดูเป็นประจำ เห็นการเกิดการตายกันอยู่เสมอ แต่ก็หาได้รักษาปรกติของจิตใจไว้ได้ไม่ กลับเห็นเป็นเรื่องผิดปรกติ เป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายทารุณต่อจิตใจที่สุด แม้เห็นคนตายที่ห่างออกไปคือคนที่ไม่รู้จักกันก็อดที่จะเศร้าสลดใจไม่ได้ ซ้ำยิ่งคนใกล้ชิดกับเราด้วยแล้วก็เหมือนกับหัวจิตหัวใจเราได้สลายลงไป การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนเราไม่ยอมคุ้นเคยกับความตาย เหมือนกับคุ้นต่อการตกของดวงตะวัน เห็นว่าความตายเป็นแขกแปลกหน้าอยู่เสมอ แม้แต่การจะพูดถึงมัน หากพูดผิดกาลเทศะก็เหมาว่าเป็นคนปากเสีย เราพยายามหนักหนาที่จะลืมตายกัน พยายามลืมในสิ่งที่จำต้องประสบ แต่ผลของการฝึกฝนพยายามเช่นนั้น ช่วยอะไรเราได้บ้าง? เมื่อมรณะสมัยผ่านมาถึงเข้าจริง ๆ ค่าที่เราไม่เคยตระเตรียมรอคอยต้อนรับ ก็ทำให้เราเสียขวัญ ร้องไห้..
เอา เถอะ..น้ำตาแม้จะเป็นเครื่องหมายแห่งความโง่ที่ไม่ยอมรับรู้ความจริงใน ธรรมชาติ แต่มันมีความหมายพิเศษแฝงอยู่อย่างหนึ่ง คือ เป็นเครื่องวัดปริมาณความดีของผู้ตาย พ่อแม่น้ำตาซึมไหลด้วยความรันทด เมื่อมองเห็นศพลูก เพราะคุณค่าของความเป็นพ่อแม่เป็นลูกนี้ มันมีความหมายลึกซึ้งอย่างยากที่จะช่วยกันกลั้นน้ำตาได้ ในสมัยเช่นนี้ถ้าใครถือว่าใจแข็งปลงตก บางทีก็เสียคน ถูกหาว่าเป็นคนใจดำ ฉะนั้น น้ำตาแม้จะเป็นเครื่องหมายแห่งความโง่ แต่การร้องไห้ก็ไม่ใช่ความผิด..
ถ้า เป็นไปได้ การไม่ยอมร้องไห้ด้วยอำนาจที่เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเห็นดวงตะวันตกดิน แม้คนจะประณามว่าใจดำ ก็ยังมีความปลอดภัยมากกว่าร้องไห้เพราะความโง่ คนฉลาดเห็นการตายเป็นการสูญเสียครั้งเดียว แต่คนโง่ต้องสูญเสียร่ำไป เหมือนคำของปราชญ์ที่ว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว คนขี้ขลาดตายหลายครั้ง”
พระ พุทธเจ้าสงสารพวกเรา เกรงว่าพวกเราจะตายซ้ำตายซากกัน แล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมานกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น จึงสอนให้หมั่นนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เพื่อให้คุ้นเคยกับความตาย จะได้รักษาใจให้เป็นปรกติเมื่อความตายมาถึง โดยให้เจริญ “มรณัสสติกรรมฐาน” พวกเราอย่าพยายามลืมตายกันเลย จงแบ่งเวลาในวันหนึ่ง รำลึกถึงความตายด้วยความมุ่งหมายดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้บ้าง จะได้สร่างเมาและใช้ชีวิตให้มีค่า หาไม่แล้วเมื่อลูกตาย เมียตาย พ่อตาย แม่ตายฯ ก็จะเฝ้าแต่ฝังตัวเองอยู่ในความเศร้า เหมือนเรื่องราวเคยมี..
คหบดี ผู้หนึ่ง เมื่อบุตรชายตายนำไปฝังที่สุสาน ทุกเวลาสายัณห์เย็น จะต้องมานั่งร้องไห้รำพันที่ศพลูก จนไม่มีเวลาจะพบสายลมแสงแดดที่น่าพิสมัยของโลกได้ วันหนึ่งเมื่อจากบ้านมาถึงสุสานยังไม่ทันร้องไห้ เหลือบเห็นเด็กคนหนึ่งมาชิงร้องไห้เสียก่อนก็เลยลืมคิดที่ร้องแข่งกับเด็ก จึงเข้าไปถามเด็กว่าร้องไห้ทำไม เด็กคนนั้นตอบว่า ฉันต่อเรือนรถไว้อย่างสวยงาม แต่ยังขาดล้อ ที่ร้องไห้ก็เพราะปรารถนาจะได้ล้อรถ คหบดีจึงถามว่า ล้อรถที่ไหนล่ะที่เจ้าอยากได้น่ะ! เด็กตอบว่าเรือนรถที่ต่อไว้นั้นสวยงามมาก จนไม่ควรจะใช้ล้อที่สร้างจากวัตถุของโลกนี้ เห็นสมควรอยู่ก็แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์เท่านั้น ฉันอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาทำล้อรถ คหบดีฟังแล้วก็ประณามเด็กทารกคนนั้นว่า เจ้านี่จะบ้าหรือ? ที่มาร้องไห้เอาพระอาทิตย์พระจันทร์ สิ่งนั้นมันสูงเกินไปนัก ไม่มีใครหรอกจะได้สิ่งที่สูงสุดนั้นมาครองเป็นสิทธิได้ เด็กนั้นก็ย้อนตอบว่า ช่างฉันเถอะ! ถึงฉันจะบ้าบอ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าการบ้าเพราะร้องไห้จะเอาสิ่งที่สูง ถึงเอาไม่ได้ก็ยังมองเห็น คงจะบ้าน้อยกว่าคนที่ร้องไห้จะเอาในสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น ร้องไห้จะให้คนที่รักซึ่งตายไปกลับฟื้นขึ้นมา
คหบดีได้คิด นับแต่นั้นก็เลิกมาป่าช้า เลิกฝังชีวิตไว้กับความเศร้าที่เปล่าประโยชน์
ทำไมหนอ เราจึงจะได้คิดกันอย่างท่านคหบดีผู้นี้บ้าง เพราะจะช่วยให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ขาดทุน
การนึกถึงความตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันอันธการ
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
.
ฝึกใจให้คุ้นกับความตายเข้าไว้ แล้วจะได้ไม่ต้องตายทั้งเป็น
อีก ประการหนึ่ง การเห็นอาการขึ้งลงของดวงตะวันซึ่งเป็นไปอย่างมีช่วงเวลาสม่ำเสมอ เป็นธรรมชาติที่รักษาใจคนให้เป็นปรกติได้ไม่หวั่นไหวกับการตกของดวงตะวัน และรู้จักการตระเตรียมประกอบกิจการงานให้เหมาะแก่เวลา เช้า สาย บ่าย เย็น จะทำงานอะไร ต่างก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ การเคลื่อนคล้อยของดวงตะวันที่คงเส้นคงวา ทำให้คนไม่สู้วิตกกังวล เกิดทุกข์ร้อนแต่อย่างใดๆ ส่วนการเคลื่อนคลานของชีวิต หาได้มีความแน่นอนไม่ ผู้ใหญ่จะต้องตายก่อนเด็ก หรือเด็กจะต้องตายก่อน พ่อแม่จะตายก่อนหรือลูกจะไปก่อน เพราะ อนิมิตฺตมนญฺญาตํ มจฺจานํ อิธ ชีวิตํ ความตายย่อมไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกให้รู้ได้ เป็นหน้าที่ของคนต่างหาก ที่ควรจะเตรียมตัวต้อนรับมันเสมอ อย่าให้มันมาถึงโดยไม่เตรียมตัว เดี๋ยวจะต้องจรจากชีวิตเหมือนคนเดินทางที่กะทันหัน ไม่ทันจะเตรียมจัดเสบียง
ปรโลก และ ชีวิตหลังความตาย คืออะไร
คำว่า ปรโลก หมายความว่า โลกหน้าหรือโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์นี้ โลกนี้และโลกหน้ามีทั้งหมด 31 ภูมิ เป็น สถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย และเป็นของสากลที่ทุกคนไปอยู่ได้ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา อุปมา เหมือนผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย และต้องเข้าคุก ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ใดก็ตาม หากกระทำผิดก็มีสิทธิ์เข้าคุกได้ แสดงให้ เห็นว่า คุกเป็นของสากล เพราะฉะนั้น สถานที่อยู่ของชีวิตหลังความตายหรือปรโลกก ็เช่นกัน เป็นของสากล ที่มนุษย์ ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 31 ภูมิ นี้จนกว่าจะกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จึงจะเข้าสู่นิพพาน
*ปรโลก แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายใหญ่ๆ คือ ฝ่ายสุคติภูมิ และฝ่ายทุคติภูมิ เป็น สถานที่หมุนเวียนให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ประกอบกุศลกรรมและอกุศลกรรม ได้ วนเวียนไปมา เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตาม แต่อกุศลและกุศลที่ได้สั่งสมไว้เมื่อครั้ง เป็นมนุษย์
* มก. อรรถกถาสุปปวาสสูตร เล่ม 44 หน้า 233
รายละเอียดของมิจฉาทิฐฐิ หรือ ความเห็นผิด ประกอบด้วย
1. เห็นว่า ทานไม่มีผล คือ ทำทานแล้วไม่เกิดผลใดๆ
เห็นว่า สงเคราะห์ไม่มีผล คือ การช่วยเหลือกัน เป็นสิ่งไร้สาระ เพราะรัฐบาลคอยให้สวัสดิการแก่ทุกคนเท่ากั นอยู่แล้ว
2.เชื่อว่า การปฏิสันถารบุคคลที่ควรแก่การต้อนรับเชื้ อเชิญไม่มีผล
3. เห็นว่า การบูชาคนที่ควรบูชาไม่มีผล คือ ไม่ต้องบูชาใคร เราเติบโดมาได้ด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครช่วย
4. เห็นว่า โลกนี้ ไม่มี เชื่อว่าตายเกิดชาติเดียว แล้วสูญ
5. เห็นว่า โลกหน้า ไม่มี เชื่อว่าตายเกิดชาติเดียว แล้วสูญ
6. เห็นว่า กฏแห่งกรรมไม่มีจริง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
7. เห็นว่า บิดาไม่มีพระคุณ ที่ให้กำเนิดลูกมา เพราะรักสนุก นั่นเอง
8. เห็นว่า มารดาไม่มีพระคุณ เป็นแค่สหายร่วมโลก
9. เห็นว่า เทวดา พรหม เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ไม่มี ไม่เชื่อว่า พวกนี้มีจริง
10. เห็นว่า พระอรหันต์ ผู้หมดกิเลส ไม่มีจริงในโลก อิมพอสสิเบิ้ล
สัมมาทิฐฐิ ระดับโลกียะ จะเป็นตรงข้ามกับมิจฉาทิฐฐิ
ใน บรรดาโทษของอกุศลกรรมทุกชนิดนั้น โทษอันเกี่ยวเนื่องกับนิยตมิจฉาทิฏฐิ จัดเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด สมดังมีพระพุทธดำรัสไว้ ในอังคุตตรพระบาลีว่า
"ปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานิ"
เรื่องที่เราจะพูดกันในวันนี้ ก็ตั้งใจว่าจะสรุปการตายให้ฟังว่าเวลาตายนี่เขาตายกันยังไง แต่อ้ายที่ผมสรุปนี่ไม่ใช่มาจากอ้ายประสพการณ์นะ เพราะว่าไม่รู้เหมือนกันว่าตายกันยังไง สรุปมาจากพระอภิธรรมให้พวกเราได้ฟังกันว่า อ้ายการตายนั้นน่ะ ปกติมันตายกันยังไง ความตายนั้นน่ะเราเรียกกันทั่วๆไปว่า มรณะ หรือ จุติ หรือ ตาย การตายนี้ถ้าเรามาพิจารณาดูให้ละเอียดรอบคอบแล้ว มันมีอยู่ ๓ ชนิด
ชนิดที่ ๑ เรียกว่า ขณิกมรณะ นั่นหมายถึงการดับของรูปและนาม ถ้าผู้ใดที่ได้ศึกษาวิปัสสนาคงจะรู้ว่า การดับของรูปนามนั้นมันมีลักษณะเป็นอย่างไร สำหรับในเรื่องนี้เราจะไม่พูดถึงกัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจ
อีกเรื่องหนึ่ง ตายอีกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่า สมมุติมรณะ ตาย โดยสมมุติ นี่แหละ อ้ายตัวที่เขาเข้าโลงกันนี่ ตายสมมุติละ ยังไม่ใช่ตายจริงๆ สิ่งใดไม่ว่ามนุษย์ สัตว์เทวดา ต่างไม่ค่อยชอบใจกันทั้งนั้นในเรื่องสมมุติมรณะ
อีกอันหนึ่ง ตายอีกอันหนึ่ง อ้ายนี่ตายจริงๆ เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ หมายความถึงการตายแล้วไม่ต้องมาเกิดอีก คือการดับของพระอรหันต์
ที่นี้คำว่าการตายนี่ เราต้องให้ definition กันซะก่อน ในเรื่องอ้ายการตายเข้าโลงนี่ มันมีลักษณะหรือองค์ประกอบอะไรกันบ้าง
องค์ประกอบอันที่ ๑ นั่นก็คือ การสิ้นไปแห่งอายุ คือเรียกว่า กัมมชรูป คำว่าการสิ้นไปแห่งอายุหรือกัมมชรูปนี้ อาจจะมีท่านทั้งหลายสงสัยว่าทำไมคนเรานี่เกิดมาแล้วไม่สิ้นอายุตายไม่ได้หรือ ความจริงนั้นถ้าจะตายกันจริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องสิ้นอายุ มันก็ตายกันได้
ประการที่ ๒ เป็นความสิ้นไปหรือหมดไปแห่งอุสมาเตโช หรือ ธาตุไฟที่มีความอบอุ่นต่อร่างกาย ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่าคนตายนี่อ้ายอุณหภูมินี่มันลด มันมีความเย็นเข้ามาแทนที่
ประการที่ ๓ ก็คือ ความสิ้นไปหรือหมดไปแห่งวิญญาณ คือ ภวังคจิต นั่นเป็นเรื่องของสมมุติมรณะ คือการตายที่เรากลัวกันเป็นหนักเป็นหนา
แต่ทีนี้พูดถึงว่า ความสิ้นอายุ นั้น ผมอยากจะเล่าคร่าวๆ ให้พวกเราได้ฟังกันไว้เป็นความรู้ เพราะว่าไหนๆ เราก็จะพูดกันในเรื่องของพระอภิธรรมแล้ว เราก็ควรจะได้รู้กันให้มันหมดสิ้น เพราะว่าการตายในที่นี้เราหมายถึง การตายของสัตว์ใน ๓๑ ภูมิ
เราก็เริ่มกันมาตั้งแต่สัตว์นรก ถ้าการตายจากสัตว์นรกนั้น ก็หมายความว่าสิ้นภาวะแห่งความเป็นสัตว์นรกนั้น อ้ายนี่อายุของสัตว์นรกทั้งหลายนั้น อย่ามาเปรียบเทียบกับพวกเราเลย มันยืนยงคงทนกว่ากันมากนัก
นอกจากนั้นก็มาถึงอายุของเปรต เปรตนี่มีความไม่แน่นอนเช่นเดียวกันกับสัตว์นรกเหมือนกัน แล้วแต่กรรมที่เขาทำมาว่ามีความยืนนานแค่ไหน
สำหรับอายุของอสุรกายนั้น มันก็ทำนองเดียวกัน
แต่สำหรับอายุของสัตวฺ์เดรัจฉานนั้น ปกติอย่างต่ำมันก็มีอายุ ๗ วัน หรืออย่างสูงก็ประมาณ ๓00 ปี เช่น จำพวกเต่าหรืออะไร ที่น้อยๆก็จำพวกยุง
แต่สำหรับมนุษย์เรานั้นมันเป็นเรื่องแปลก เพราะว่าเดิมทีเดียวนั้นมนุษย์เรามีอายุนับเป็น ๑0,000 ปี แล้วก็ลดน้อยถอยลง ถอยลง ถอยลง มาถึงศาสนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ อายุมันก็คงเหลือ ๑00 ปีเป็นอายุมนุษย์ แต่มาถึงเมื่อศาสนานี้ล่วงไปแล้วจนถึงบัดนี้ ถ้าคำนวณกันตามความร่อยหรอของอายุมนุษย์แล้ว มันก็คงจะเหลือราวสัก ๗๕ ปี
ห่างจากมนุษย์เราไปแล้ว มันก็ถึงอายุของเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกานี่ก็มีอายุราว ๕00 ปีทิพย์ อ้าย ๕00 ปีทิพย์นี่หมายความว่าอายุเต็ม เต็มตามอายุขัยของเขาน่ะ ไม่ใช่ว่ามันหมายถึงบุญด้วย เพราะว่าเทวดาที่จุตินี่ ส่วนมากเกิดจากการหมดบุญ ความจริงยังไม่หมดอายุหรอก มันหมดบุญ เพราะว่า ๑ วันนี่มันเท่ากับ ๕0 ปีของมนุษย์
สำหรับเทวดาชั้นดาวดึงส์นั้น อายุขัย ๑,000 ปีทิพย์ ใน ๑ วันทิพย์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์นี่เท่ากับ ๑00 ปีของมนุษย์
ในชั้นยามานี่ มีอายุ ๒,000 ปี และ ๑ วันในชั้นยามานี่เท่ากับ ๒00 ปีของมนุษย์
ในชั้นดุสิตนี่ ก็ ๔,000 ปีทิพย์ ๑ วันเท่ากับ ๔00 ปีของมนุษย์
และในชั้นนิมมานรดีนี่ ๘,000 ปีทิพย์ ๑ วันทิพย์เท่ากับ ๘00 ปีของมนุษย์
และชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี่ ๑๖,000 ปีทิพย์ หรือ ๑ วันเท่ากับ ๑,๖00 ปีมนุษย์
เท่าที่ผมพูดมายังงี้อาจจะมีบางท่านสงสัยว่าทำไมเทวดาหรือสัตว์นรกถึงได้มีอายุยืนยาวนัก คำว่าอายุในที่นี้ผมหมายถึงอายุขัย คือ จะมีอายุเกินไปจากนี้ไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงนั้นไม่มีเทวดาสักองค์หนึ่งที่จะมีอายุขนาดนี้ ถึงสิ้นอายุขัย ทั้งนี้เพราะเหตุไร เราควรจะได้รู้กันต่อไป ว่าเกิดของมนุษย์ก็ดี ของสัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี หรือ เทวดาก็ดี มันขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้ทำเอาไว้ ฉะนั้นในเรื่องของอายุนี้มันเป็นการตายประเภทหนึ่ง หมายความว่าทนทานที่สุดก็อยู่ไม่เกินอายุขัย
นอกจากการตายที่สิ้นอายุขัยแล้ว ยังมีการตายเพราะสิ้นกรรมอีก คนเรานี่ ส่วนมากมันบางทีกรรมก็ยังไม่ทันสิ้น อายุก็ไม่ทันหมดแล้วก็มาตายซะก่อน อ้ายตายอย่างนี้เขาเรียกว่า อุปัจเฉทกมรณะ หมายความว่ามันมีกรรมมาตัดรอน ซึ่งถ้าเราเทียบกับสัตว์ภูมิอื่นแล้ว อย่างในนรกนี้ ผู้ที่จะพ้นคือตายจากนรกไปเป็นสัตว์ภูมิอื่นได้นั้น มันจะต้องรับโทษทัณฑ์ครบตามกรรมที่ตนทำซะก่อน มันถึงจะพ้นไป ฉะนั้นปัญหาเรื่องของสัตว์นรกนี่ ผมว่าอายุมันยืนนานตามกรรมที่ตัวทำเอาไว้
ฉะนั้นเท่าที่กล่าวมาเราก็คงจะได้ความว่าการตายนั้นมันตายกันได้หลายอย่างคือ
1 ตายเพราะสิ้นอายุ คือ อายุขยมรณะ หมายความว่าสิ้นอายุนี่ต้องตายประเภทหนึ่ง
2 กัมมักขยมรณะ หมายความว่า สิ้นกรรม นี่ต้องตายอีกประเภทหนึ่ง
3 การตายนั้นตายเพราะ อายุหมดไป กรรมหมดไปด้วย นี่อีกประเภทหนึ่ง
4 คือ ตายอายุก็ยังไม่สิ้น กรรมก็ไม่สิ้น อ้ายนี่มันคล้ายๆ มันเป็นสักษณะของ กรรมมาตัดรอน ออกไป เราจะเห็นได้จากมนุษย์บางคน กรรมที่เขาทำเอาไว้ เราเห็นได้ชัดๆ ว่าเขายังไม่สิ้น และอายุก็ยังน้อย แต่ทำไมเขาต้องตายไป นั่นเพราะอุปฆาตกรรมมันตัดรอน
ตามปกตินั้นการตายด้วยการสิ้นอายุก็ดี การสิ้นกรรมก็ดี เมื่อถึงเวลาที่คนเราจะตายนี่มันต้องมีเรื่องที่จะเกิดขึ้น เราเรียกว่า สิ่งแสดงหรือสิ่งบอกเหตุนั้น ก่อนที่จะตาย สิ่งเหล่านั้นมีอะไรบ้าง พวกเราทุกคนควรจะได้ศึกษาหาความรู้เสียในที่นี้ ผมเข้าใจว่าพวกเราทุกคนคงจะได้เห็นว่าคนที่เข้าขั้นโคม่าจวนจะตายนั้นนี่ เขาได้ทำพิธีกรรมกันอย่างไรบ้าง และที่เห็นบางคนถึงกับนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟังบ้าง มาต่ออายุบ้าง แต่ความจริงเหล่านี้มันไม่ได้ต่อออกไปเลย ถึงเวลามันก็ตาย ทำไมคนเราถึงได้ทำกันเช่นนั้น ผมว่าเขาทำอะไรนี่เขาต้องมีเหตุผล เพราะเหตุใด เพราะหลักของการตายนั้น เมื่อตายเสร็จมันก็จะต้องเกิดในทันที สิ่งที่ก่อนจะตายนั้น ตามปกติมันจะต้องแสดงออกทุกตัวสัตว์ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ซึ่งเราเรียกตามภาษาธรรมะ เรียกว่า วิถีจิต วิถีจิตนี้มันเป็นการแสดงออกเราเรียกว่า มรณาสันนวิถี เมื่อจุติ เพราะว่าสัตว์นั้นจะตายไป เราบอกแล้วนี่ ว่าการที่จะตายนั้นมันจะต้องมีองค์ประกอบ อย่างที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ว่ามันมีองค์ประกอบกัน ๓ องค์ คือ
๑. ความสิ้นไปแห่งกัมมชรูป คำว่า กัมมชรูป ในที่นี้ ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ดีว่า เราทุกคนที่เกิดมานั้นเกิดมาเพราะกรรมกำหนด กรรมกำหนดให้เราเกิดตัวนี้แหละเรียกว่า ชนกกรรม ฉะนั้นรูปร่างเราที่เราเกิดมาเป็นผู้หญิงก็ดี เป็นผู้ชายก็ดี รูปสวยหรือไม่สวย เหล่านี้เป็นเรื่องของกัมมชรูปที่กำหนดให้เรามาเกิด เมื่อกัมมชรูปสิ้นไปหมดไป กัมมชรูปที่ไม่สิ้นนี้มันอยู่รวมกันได้ก็โดย ชีวิตรูป มันควบคุมธาตุทั้ง ๔ คือมหาภูตรูป อันได้แก่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมให้คงรวมตัวกันอยู่ไม่แตกสลาย เมื่อชีวิตรูปสิ้นไป ธาตุทั้ง ๔ ที่ควบคุมกันอยู่นั้นมันก็จะแยกตัวกันออก ไม่ควบคุมกันอยู่ ดังนั้นเราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนตายกับคนนอนหลับว่า คนตายนั้นมีการขึ้น พอง เหม็น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรูปที่มันแตกตัวออกไป แต่คนนอนหลับนั้นชีวิตรูปยังคงอยู่ ดังนั้นมันก็ไม่มีสภาพอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้านอนไม่ตื่น นานหน่อยหลายๆ วันหน่อย อ้ายร่างกายก็อาจจะซูบผอมน้ำหนักอาจจะลดลงได้แต่ชีวิตรูปยังคงอยู่นี่
นอกจากชีวิตรูปจะดับไปแล้ว ทำให้กัมมชรูปแตกสลายไปแล้ว อุสมาเตโช คือธาตุไฟซึ่งยังความอบอุ่นให้แก่ร่างกายนั้น มันจะต้องดับไปด้วย
เมื่อธาตุไฟดับไปแล้ว ประการสุดท้าย คือ วิญญาณหรือภวังคจิต จะต้องพ้นไป
การที่ภวังคจิตจะพ้นไปนี่แหละ มันก็เกิด มรณาสันนวิถี เกิดขึ้น คือวิถีจิตอันสุดท้ายที่มันจะเกิดขึ้น พอมรณาสันนวิถีขาดพลับลงไปแล้ว ทางภาษาธรรมะถือว่า จุติและปฏิสนธิ จะเกิดขึ้นทันที จิตระหว่างจุติและปฏิสนธินี้ ไม่มีจิตดวงใด ที่จะมาคั่น เป็นการต่อเนื่องกันโดยทันที ไม่มีจิตดวงอื่นมาคั่น จากมรณาสันวิถีนี้ มันจะแสดงออกให้เห็นถึงเหตุผลที่คนโบราณนั้นเขาได้นิมนต์พระก็ดีมาเทศน์คนจะตายให้ฟัง มีมิตรญาติพี่น้องเป็นผู้บอกหนทางให้คนคนจะตายได้รู้ บางคนก็บอกอรหัง อรหัง นั่นก็หมายความว่าให้ระลึกถึงพระอริยบุคคล คือพระอรหันต์หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เพื่อให้บุคคลผู้นั้นมีสิ่งยึดเหนี่ยวในการตายนั้น จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะเรารู้กันมาแล้วว่าจุติจิตดับพลับ ปฏิสนธิจิตจะเกิดขึ้นทันที ในเรื่องมรณาสันวิถีนี้ มันอาจจะเกิดขึ้นทางปัญจทวารหรือ ทางมโนทวารก็ได้ ที่ว่าทางปัญจทวารนี่หมายความว่าเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ผู้ตายย่อมรู้ดี ถ้ามันไม่เกิดขึ้นทางนี้ มันก็จะต้องเกิดทางมโนทวาร ทั้งนี้เพราะเหตุไร เพราะมรณาสันนวิถีนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะว่าคนเรานี้มันมีวิถีจิตอยู่ ๑๗ ขณะ แต่คนที่กำลังจะตายนั้นมันเหลือชวนจิตเพียง ๕ ขณะเท่านั้น ที่ว่าเหลือชวนจิตเพียง ๕ ขณะนั้น หมายความว่ามันอ่อนกำลังลงเหลือเกิน แทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว แต่ทางมโนทวารนั้นยังมีความรู้สึกอยู่
ทีนี้ การที่จะขาดใจตายนั้น มรณาสันนวิถีนั้นก็ปรากฏออกเป็น ๔ อย่างดังนี้คือ มรณาสันนวิถี ที่จุติจิตเกิดขึ้นในที่สุดแห่งชวนจิต
มรณาสันนวิถี ขณะที่จุติจิตเกิดขึ้นที่ชวนะและภวังคจิต
มรณาสันนวิถี จุติจิตเกิดขึ้นที่สุดแห่งชวนะและตทาลัมพนะและ
มรณาสันนวิถี นั้นเกิดขึ้นที่ชวนะ ตทาลัมพนะและภวังคจิต
ถือว่าเป็นจิตดวงสุดท้ายที่จะดับลงไป ดังนั้น การที่คนโบราณทำเช่นนี้ ก็เพื่อเรียกสติของผู้นั้นให้คืนมา สำหรับผลที่จะได้ประการใด นั้นเรายังจะยังไม่พูดถึงกันในขณะนี้
นอกจากมรณาสันนวิถีแล้ว สิ่งต่อไปนี้จะเกิดขึ้นก็คือ อารมณ์ของสัตว์ที่จะมรณะ นั้น มันเป็นอารมณ์ของชวนจิต ๕ ขณะ ที่ผมพูดเมื่อกี้นี้คือ สัตว์ที่ใกล้มรณะนั้นจะยังต้องมีอารมณ์ดังต่อไปนี้เกิดขึ้นไม่อย่างหนึ่งก็อย่างใด อารมณ์นั้นคือ ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของผู้ที่จะตายนั้น
ประเภทที่ ๑ เราเรียกว่า กรรมอารมณ์ กรรมอารมณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็จะทำให้ผู้นั้นนึกถึงกรรมดีทั้งหลายคือ กุศลกรรม ไม่ว่าจะเป็นกามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศลหรือโลกุตตรกุศล เขาจะนึกขึ้นได้ว่าเขาได้ทำกรรมดีอะไรไว้บ้าง ถ้าผู้นั้นมีน้ำหนักของกรรมชั่วคือ
อกุศลกรรมมากกว่า กรรมอารมณ์ก็จะนึกได้ถึงกรรมชั่วที่เขาได้ทำนั้น เมื่อมรณาสันนวิถีชวนจิตเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะน้อมอารมณ์นั้นไป เพราะกรรมอารมณ์นี่แหละ ที่ทำให้คนโบราณเราต้องนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟัง หรือบอกหนทาง เมื่อกำลังจะสิ้นใจ แต่สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นไปได้แค่ไหน
ผมยังไม่อยากจะพูด
นอกจากรรมอารมณ์แล้ว มันก็มี กรรมนิมิตอารมณ์ อีกประเภทหนึ่งคือ ถ้าไม่มีกรรมอารมณ์เกิดขึ้น มันก็ต้องมีกรรมนิมิตอารมณ์เกิดขึ้น กรรมนิมิตอารมณ์นั้นหมายถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำกรรมที่ผู้นั้นได้ทำไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม กรรมนิมิตอารมณ์นั้นจะปรากฎให้เขาได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รสในกรรมนั้นๆ แล้วแต่ว่า
กรรมนิมิตอารมณ์นั้นจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ถ้ามันเป็นกุศลกรรม เขาก็อาจจะแลเห็นโบสถ์
เห็นวิหาร เห็นปัจจัยต่างๆ ที่เขาได้สร้างผลบุญประเภทนั้นๆ เอาไว้ เมื่อกรรมนิมิตอารมณ์ปรากฏขึ้นเช่นนี้ จะทำให้เขาได้ระลึกถึงบุญ ทานที่เขาทำเอาไว้ได้ แต่ถ้าผู้นั้นมีอกุศลกรรมหนักกว่ากุศลกรรม กรรมนิมิตอารมณ์ที่ปรากฎ
ขึ้นนั้นก็จะเป็นเครื่องมือที่ปรากฏในการทำการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้น เมื่อปรากฏเช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้เขาระลึกถึงอกุศลกรรมที่เขาทำขึ้นนั้นได้ สิ่งเหล่านี้พวกเราบางคนอาจจะเคยประสบ ซึ่งเราไปเห็นคนที่กำลังจะตาย เขาพูดออกมาเป็นตุเป็นตะว่าเขาได้เห็นอะไร เขาได้ยินอะไร เขาได้กลิ่นอะไร หรือเขาสัมผัสอะไร ไม่ว่าทางดีหรือทางชั่ว แต่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจว่าเขามีความเพ้อฝันหรือสติฟั่นเฟือน เพราะว่าคนเรากำลังเข้าอยู่ในขั้นโคม่าเช่นนั้น ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น สติเขาไม่ได้ฟั่นเฟือน เขาเห็นเช่นนั้นจริงๆ มันเป็นการบังคับให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ได้ลิ้มรสเช่นนั้น เพื่อเขาจะได้ระลึกถึงกรรมที่เขาได้ทำมา ทำไมธรรมชาติถึงได้กำหนดเช่นนั้น ก็ผมบอกแล้วว่า จุติจิตนั้นเมื่อนึกถึงของจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน และบอกต่อไปแล้วว่าชนกกรรมนั้นเป็นตัวทำให้เกิด ก็กรรมนิมิตอารมณ์นี่แหละเป็นตัวชักนำให้เขามีความคิดนึกเช่นนั้น ในขณะที่เขากำลังจะขาดใจตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ต้องยึดเหนี่ยวสิ่งสุดท้ายที่มันบังเกิดขึ้นแก่ตัวเขา นั่นเขาออาจจะไปสู่สุคติ หรือทุคติก็ได้แล้วแต่เขาทำมา ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าคนเรานั้น เราควรทำกรรมดีตลอดชีวิต เพียงทำกรรมชั่วในระยะบั้นปลายชีวิตนิเดียวเท่านั้น เขาก็ต้องตกไปอยู่ในทุคติภูมิตามกรรมนิมิตอารมณ์ที่ปรากฎ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราได้ศึกษากันมาแล้วตั้งแต่ต้นว่า กรรมที่จะให้ผลตัวแรกนั้นก็คือ อนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก หรือถ้าไม่ได้ทำอนันตริยกรรมหรือกรรมหนักเอาไว้แล้ว มันก็จะได้กรรมขณะที่กำลังทำใกล้จะตาย ฉะนั้นญาติพี่น้องของผู้ตายทั้งหลาย ถ้าจะหวังให้เขาได้ไปสู่สุคติ เราจะทำอย่างไร อย่าให้เขาได้
กระทำกรรมใกล้จะตายเลย เพราะการทำกรรมใกล้จะตายนั้น มันเป็นสิ่งจดจำเอาไว้ ไม่ลืมเลือนหายไป มันจะทำให้กรรมนิมิตอารมณ์เกิดขึ้น
ในเรื่องกรรมนิมิตอารมณ์นี้ ถ้าท่านทั้งหลายได้ศึกษามาในพระสูตร เราจะเห็นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่พราหมณ์ขี้เหนียวแก
มีบุตรชายคนหนึ่ง เป็นคนที่มั่งมีศรีสุขแต่ขี้เหนียว ไม่ยอมทำบุญทำทานอะไรทั้งหมด แต่สำหรับบุตรชายของแกนั้นเป็นคนดี แต่ไม่สามารถจะทำบุญทำทานได้ เพราะว่าพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่เขาเจ็บใกล้จะตาย พ่อก็ไม่ยอมที่จะหาหมอมารักษา เมื่อหาหมอมาอาการก็เข้าขั้นโคม่าอย่างที่พวกเราเดี๋ยวนี้เข้าใจกันแล้ว หมายความว่าจะตายมิตายแหล่แล้ว เรื่องนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เล็งพระสัพพัญญุตญานเห็น เพื่อจะไปโปรดบุตรของพราหมณ์ผู้นั้น จึงได้บันดาลพระองค์แผ่รัศมีไปให้เขาเห็น บุตรของพราหมณ์ผู้นั้น ได้เห็นรัศมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระรูปของพระองค์ปรากฎเช่นนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แม้แต่จะยกมือขึ้นทำความเคารพสักการะก็ทำไม่ได้ ก็มีจิตวาระสุดท้ายแห่งจิตดวงเดียวเท่านั้นที่มีความเคารพสักการะในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเขาก็สิ้นชีวิตไป อันนี้ก็ถือได้ว่าเป็นกรรมนิมิตอารมณ์อันหนึ่ง เพราะเมื่อบุตรชายของพราหมณ์ผู้นั้นจุติไปแล้ว ก็ได้ขึ้นไปเกิดอยู่บนชั้น
ดาวดึงส์ นี่สำหรับบุตรพราหมณ์ผู้นี้ ถ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่โปรดแล้ว ในชีวิตของเขาไม่เคยทำกุศลกรรมเลย เขาก็คงจะต้องไปสู่ทุคติภูมิเป็นแน่ เราก็จะเห็นพยานยืนยันของคำว่ากรรมนิมิตอารมณ์เกิดขึ้น ว่ามันมีความสำคัญ เป็นอย่างไร
นอกจากกรรมนิมิตอารมณ์แล้ว มันก็ยังมีอีกตัวหนึ่งเรียกว่า คตินิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์นี้หมายถึง
เครื่องหมายที่จะนำไปสู่สุคติหรือทุคติก็แล้วแต่ คำว่าคตินิมิตอารมณ์นี้มันมีความหมายแตกต่างกันกับกรรมนิมิตอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ นั้นหมายถึงสิ่งที่เขาได้กระทำมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็แล้วแต่ มันจะปรากฎขึ้นเพื่อชักนำหรือดึง อารมณ์ของเขาไปสู่วิถีจิตเช่นนั้น แต่สำหรับคตินิมิตอารมณ์นั้นมันแตกต่างกัน คตินิมิตอารมณ์นี่เป็นเครื่องหมายที่จะให้ผู้ตาย ได้ทราบว่าเขาจะไปสู่สุคติภูมิหรือทุคติภูมิ แล้วแต่กรรมของเขา ถ้าเขาจะไปสู่สุคติภูมิ เขาก็อาจจแลเห็นวิมาน ปราสาท หรือนางฟ้า เทวดา หรือว่าวัง วัดวาอาราม ภิกษุสามเณร อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นวัตถุที่เป็นมงคลของชีวิต ถ้าเขาจะต้องไปสู่ ทุคติภูมิแล้ว เขาอาจจะแลเห็นเปลวไฟ แลเห็นป่า แลเห็นเหว แลเห็นถ้ำ แลเห็นนายนิรยบาล แลเห็นสุนัข เห็นแร้ง เห็นกา คือสิ่งต่างๆ ที่จะมาเบียดเบียนความสุขของเขา นี่
กรรมอารมณ์ก็ดี กรรมนิมิตอารมณ์ก็ดี คตินิมิตอารมณ์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดใน ๓ อย่างนี้ จะต้องปรากฎแก่บุคคลทุกคน ที่จะถึงแก่ความตาย ไม่มีเว้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ เราก็มาวินิจฉัยกันว่าโบราณนั้นน่ะ เขาทำถูกหรือไม่ ที่เวลาคนใกล้จะตาย นิมนต์พระมาเทศน์หรือบอกหนทางไปสู่สุคติ คือให้นึกถึงพระนั้น มันเป็นไปได้หรือไม่ ผมบอกแล้วว่าใน ๓ อย่างนี้มันจะต้องปรากฎอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น ตามปกตินั้นวิญญาณต่างๆ อย่างเช่นเรามีทวาร ๖ ซึ่งหมายถึงตา หู จมูก
ลิ้น กาย และใจนั้น มันมีวิญญาณกำกับอยู่ ตาเราจะแลเห็นรูปได้ ก็เพราะว่ามีจักขุวิญญาณซึ่งเกิดจากจักขุปสาท หูจะได้ยินเสียงได้ ก็มีโสตวิญญาณ เกิดขึ้น เหล่านี้ ในอายตนะ ๖ นี่ จะต้องมีวิญญาณเกิดขึ้นถึงจะรู้ แต่เราได้รู้กันมาแล้วว่า คนใกล้จะตายนั้น วิถีจิต ๑๗ ขณะ มันเหลืออยู่เพียง ๕ ขณะเท่านั้น ดังนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดับหมด ดับแล้วคงเหลือแต่มโนวิญญาณตัวเดียวเท่านั้นก็มโนวิญญาณตัวเดียวนี่แหละซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของนิมิตทั้ง ๓
คือกรรมอารมณ์ ๑. คือความคิดนึกที่ผู้นั้นเขาคิดนึกขึ้นมา ๒. กรรมนิมิตอารมณ์ ๑ ซึ่งเขาแลเห็นได้ทางใจ
และคตินิมิตอารมณ์ ๑ ซึ่งเขาก็แลเห็นได้ทางใจเช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การบอกหนทางก็ดี การนิมนต์พระมาเทศน์ก็ดี มันจะได้ผลอย่างไร เพราะการบอกหนทางนั้นก็จะต้อง อาศัยโสตวิญญาณซึ่งเกิดจากโสตปสาทรูป ซึ่งมันดับไปแล้ว หรือการที่จะแลเห็นพระก็จะต้อง อาศัยจักขุวิญญาณซึ่งเกิดขึ้น
จากจักขุปสาทรูป ซึ่งก็ดับไปแล้วเช่นกัน มีหวังไหมอย่างนี้ ดังนั้นพระที่มาเทศน์ให้คนใกล้จะตายฟังก็ดี หรือการบอกหนทางว่า พระอรหัง อรหัง อรหัง นั้น ถ้าเราจะศึกษากันให้ถ่องแท้ตามหลักของพระอภิธรรมแล้ว มันไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะ ว่าแรงกรรมของเขาเท่านั้นที่จะกำหนดให้เขาได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆเหล่านั้น ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มันก็เกี่ยวโยงกัน
มากับการกระทำ กรรมว่ากรรมใดที่จะให้ผลก่อนให้ผลหลัง ซึ่งผมได้พูดมาเมื่อกี้แล้วว่ากรรมที่จะให้ผลก่อนอื่นนั้นก็คือ อนันตริยกรรม อันได้แก่ การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต หรือทำสังฆเภท นี่เป็นกรรมที่ให้ผลก่อน จากนั้นถ้าไม่มีอนันตริยกรรม กรรมที่จะให้ผลต่อไปก็คือ อาสันนกรรม คือ กรรมที่กำลังทำใกล้จะตายนั้น ถ้าไม่มีอาสันนกรรม กรรมที่จะให้ผลต่อจากอาสันนกรรม ก็คือ นิจจกรรม คือกรรมซึ่งเราได้กระทำเป็นปกติวิสัยในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรมหรือกุศลกรรม
เหตุนี้แหละสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสไว้ใน โอวาทปาฏิโมกข์ ว่าไม่ให้บุคคลกระทำความชั่วในชีวิตของเขา คำว่าไม่ให้กระทำความชั่วในชีวิตของเขานั้น ถ้าจะให้ผมแปลอย่างง่ายๆ ก็คือไม่ให้สร้างอกุศลกรมบถ ๑0 ซึ่งได้แก่ กายกรรม ๓ คือได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ และการผิดในกาม นี่ เป็นกรรมทางกาย ๓ และวจีกรรม ๔ นั้น ก็ได้แก่ มุสา การกล่าวส่อเสียด การกล่าวคำหยาบ และการพูดเพ้อเจ้อ นอกจากนี้ยังมี มโนกรรม ๓ อันได้แก่ ความอยากได้ของของเขา ซึ่งเราไม่มีสิทธิ และการผูกพยาบาท ตัวสุดท้ายที่สำคัญยิ่งก็คือ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมันจะฝังจิตใจเราอยู่ สำหรับกรรมที่ทำทางกาย ๓ ทางวจีกรรม ๔ นั้น มันจะเป็นกรรมขึ้นได้ก็อยู่ด้วยเจตนาว่ามีเป็นประการใด ทั้งนี้การฆ่าสัตว์ให้ ตกตายนั้นมันจะต้องมีองค์ประกอบอันครบถ้วน มันถึงจะเป็นกรรม ไม่ใช่เราเดินไปเหยียบสัตว์ตายโดยไม่รู้ อ้ายอย่างนี้ไม่ถือว่า เข้าขั้นปาณาติบาตเช่นนั้น
สิ่งที่ผมพูดมานี้ มันเป็นเครื่องหมายที่จะให้ทุกคนได้รู้ตัวก่อนตาย ที่ว่าให้รู้ตัวก่อนตายนั้น เพื่ออะไร เพื่อจะได้รู้ว่าตัวนี่จะต้องไปอย่างไร ถ้าเรามาพูดกันถึงเรื่องความตายในที่นี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ที่ผัดผ่อนในการทำ กรรมดี เราจะเห็นได้จากบุคคลบางคน เมื่อเขายังหนุ่มยังแน่น เขาบอกว่าเขายังไม่แก่ เขายังไม่จำเป็นต้องทำกรรมดีหรือ กุศลกรรม เขาไปประพฤติปฏิบัติ เขาบอกว่าเขาจะไปประพฤติปฏิบัติคราวนี้ถึงวัยชรา ก็เราได้รู้กันมาแล้วว่าการตายนั้นเมื่อ หมดอายุขัยก็ได้ ตายเมื่อหมดกรรมก็ได้ ตายทั้งหมดกรรมหมดอายุก็ได้ ตายเมื่อยังไม่หมดกรรมไม่หมดอายุก็ได้ ฉะนั้นสรุปแล้วว่า เราจะเห็นได้ว่าการตายนั้นมันตายกันได้ทุกขณะ ไม่ว่าโอกาสไหน ถ้ามันจะตาย แล้วมันตายกันได้ เหตุนี้แหละสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงการตายนั้นน่ะ
เป็นของเที่ยง แน่นอนต้องตาย คนเราเมื่อเกิดมาแล้วต้องตาย แต่จะตายเมื่อไหร่นี้มันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นของผัดผ่อนกันไม่ได้ อย่างนี้ เราจะเห็นแล้วว่าผู้ใดที่ทำนิจจกรรม คือกรรมที่ทำคงเส้นคงวาอยู่เป็นการสม่ำเสมอตลอดกาลนั้น เป็นผู้ที่มีกำไรมากกว่า เมื่อมันเป็นเช่นนี้ มันก็เข้ามาในเรื่องการเจริญสติ การเจริญสติเท่านั้นที่จะทำให้เรามีจิตคือมโนวิญญาณระลึกถึงกรรมดีของ เราได้ เพราะการเจริญสติปัฏฐานนั้น เป็นวิธีการที่จะสร้างสติให้ระลึกรู้ว่าขณะนั้นเรากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ให้ระลึกรู้นั้นก็คือรู้ ความจริงที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นรูปเป็นนามหรืออะไร การรู้ความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นรูปหรือเป็นนามนั้น ความจริงแล้วมันเป็น โลกุตตรกุศล ผู้ใดที่เจริญสติปัฏฐาน ก็หมายความว่าผู้นั้นตลอดชีวิตเขาได้สร้างนิจจกรรมขึ้นในชีวิตของเขาแล้ว คนเราเมื่อ มีนิจจกรมเกิดขึ้น เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่มรณาสันนวิถีจิตเกิดขึ้นนั้น แม้วิถีจิตจะเหลือเพียงเล็กน้อยประการใดก็ตาม สติเจตสิกเขายังจะต้องคงอยู่ คงอยู่อย่างไร คงอยู่ในการระลึกรู้ว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม นั่นคือ หมายความว่าบุคคลนั้น เขากำลังสร้างโลกุตตรกุศลอยู่ตลอดชีวิตของเขานั่นเอง ในกรณีเช่นนี้ กรรมอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ดี กรรมนิมิตอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ดี หรือคตินิมิตอารมณ์ทีเกิดขึ้นก็ดี ไม่มีทางที่จะเกิดในด้านอกุศลกรรมขึ้นได้แต่ประการใด ไม่ว่าเขาจะเป็นประการใดก็แล้วแต่ อกุศลกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสตินั้นมันเป็นโสภณเจตสิก มันไม่ใช่อกุศลเจตสิก เมื่อบุคคลผู้นั้นมีโสภณ เจตสิกควบคุมจิตของตัวอยู่ตลอดชีวิตเช่นนี้แล้ว อกุศลเจตสิกคือความมืดก็ไม่สามารถจะเข้ามาสู่วิถีชีวิตของเขาได้ ตอนนี้แหละเราจะเห็นได้ว่า ความได้เปรียบความเสียเปรียบระหว่างผู้ที่เจริญสติปัฏฐานกับผู้ที่ไม่เจริญสติปัฏฐานนั้น เรามีความได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานนั้น เราไม่รู้ว่าวิถีชีวิตของเรานั้น เราได้ทำกรรมอะไรหนักไว้บ้าง เพราะเรารู้กันแล้วว่ากรรม ที่จะให้ผลก่อนนั้นต้องเป็นกรรมที่หนักและมีกรรมอะไรอีกเล่าที่จะหนักและมีความรุนแรง
ยิ่งกว่าโลกุตตรกุศลไม่มี เพราะ ตามปกตินั้น ผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐานนั้น เขาจะไม่สามารถาสร้างอนันตริยกรรม
ให้เกิดขึ้นได้ เมื่อตัดอนันตริยกรรมพ้นไปเสียแล้ว มันก็ไม่มีกรรมอะรไที่จะหนักยิ่งกว่าโลกุตตรกุศล ดังนั้นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจึงเป็นผู้ที่มีประกันชีวิตในการตายว่าเขาจะได้ไปสู่ สุคติภูมิอย่างแน่นอน และเป็นการป้องกันมิให้ล่วงเข้าสู่ทุคติภูมิแต่ประการใด
นี่ เป็นการตายของพวกเราทุกคน จึงขอให้พวกเราทั้งหลายได้มีสติระลึกรู้ในเรื่องนี้เอาไว้ เราอย่าอยู่ในความประมาท การที่เราผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่สร้างกุศลขณะที่เรายังมีความสมบูรณ์แห่งสติและร่างกายนั้น นับว่าเป็นคนโง่ อย่างที่สุด
ความตาย
คราวนี้ก็มีปัญหาอยู่ว่า ที่ว่าความตายๆ นั้น มันเป็นอย่างไร? ความตายนั้นก็คือความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ ขณะที่ ยังเป็นๆอยู่นี่ มีชีวิตินทรีย์คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเราให้สดใสไปมาเคลื่อนไหวได้ เมื่อใดขาดชีวิตินทรีย์เราก็เคลื่อนไหวไปมา
ไม่ได้ หมดความรู้สึก มีรูปกายแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ ถ้าจะเปรียบเหมือนไฟตะเกียง อาศัยน้ำมันชุบที่ไส้ จึงได้มีแสงสว่าง
รุ่งเรือง ถ้าน้ำมันเปลืองหมดก็ดับมืดฉันใด รูปกายนี้ก็เหมือนตะเกียง ชีวิตินทรีย์เหมือนน้ำมัน ถ้าชีวิตินทรีย์
ขาดหมดไป รูปกายก็ใช้การอะไรไม่ได้ เหมือนกับไฟตะเกียงดับมืดฉะนั้น อนึ่ง ชีวิตินทรีย์นี้คอยหล่อเลี้ยงรูปกายเป็นเหมือน
กับน้ำคอยหล่อเลี้ยงดอกอุบลไว้ เมื่อน้ำแห้งขาด ดอกอุบลก็พินาศเหี่ยวแห้งไม่สดใส รูปกายนี้ เมื่อชีวิตินทรีย์ขาดก็ถึง
ความพินาศตายไป เหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า ความตายก็คือความขาดชีวิตินทรีย์
เมื่อชีวิตตินทรีย์ขาดก็สิ้นลมหายใจ ครั้นสิ้นลมหายใจ วิญญาณก็ดับ ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่รู้รส กายก็หมดความรู้สึก นอนแข็งทื่อเหมือนท่อนฟืนที่รอการยัดเข้าเตาไฟ ไม่หวั่นไหวต่อความเย็นร้อนอ่อนแข็งแต่ ประการใด ถ้าทิ้งไว้ก็มีแต่จะเน่าเหม็นขึ้นพอง ถึงภาวะน่าเกลียดน่าชัง คนที่เคยคลั่งไคล้ใหลหลงกันมาก่อนก็ไม่อยากเข้าใกล้ ถึงขั้นนี้แล้วเอาไว้ด้วยไม่ได้ จำต้องเอาไปเผาเสียให้สูญในกองไฟ ไม่เช่นนั้นก็พากันนำไปฝังเสียในแผ่นดิน ให้สิ้นทุเรศนัยน์ตา เพราะถ้าเอาเก็บไว้ ก็มีแต่เหม็นสาบเหม็นสางให้รำคาญหาคุณค่าอันใดมิได้ อย่างนี้แลเรียกว่าความตาย ก็ความตายอย่างที่ ว่ามานี่ แต่ว่าจะเป็นเมื่อไรที่ไหนนั้น เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย เพราะว่ามันเหมือนกับคนตาบอดตกยอดไม้
ตาบอดตกยอดไม้
ยังมีบุรุษชราจักษุมืดคนหนึ่ง บังเอิญพลาดพลั้งตกจากยอดไม้อันสูงลิบ เมื่อตกแล้วก็มีอันเป็นตีนมือกาง ลิ่วๆ ลงมากลางหาว อกสั่นขวัญแขวน จะได้รู้ตัวว่าตนจะกระทบกระทั่งสิ่งใดบ้าง ครั้นตกลงมาถึงพื้นดิน ร่างกายจะแตกแหลกเหลว ป่นปี้ไปเมื่อใด อย่างนี้ก็หารู้ไม่เลย รู้อยู่แต่เพียงว่า " ตูข้านี้ชะรอยจะสิ้นอายุพลันตายเสียในครั้งนี้เป็นแน่แท้ ไม่มีใครช่วยแก้ไข ได้ " อุปมานี้ฉันใด เราทั้งหลายนี่ก็เหมือนกัน พอเกิดมาก็ชื่อว่าพลัดตกลงมาแล้ว วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ ก็ได้ชื่อว่า ตัวเรากำลัง ลอยลิ่วๆ ลงมาแล้ว ใกล้ความแตกความตายเข้าไปทุกที แต่ที่จะให้รู้ว่าจักถึงพื้นดินแตกตายลงไปเมื่อใดนั้น ย่อมไม่มีวันรู้เลย รู้อยู่แต่เพียงว่าเกิดมาแล้วก็เที่ยงที่จะตายไปท่าเดียวคือ ต้องตายแน่ๆ จะเหลียวแลหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้น เป็นอันไม่มี ความจริงเป็นอยู่อย่างนี้จงเชื่อเถิด
ตาย-เกิด
อันว่าเราท่านทั้งหลายนั้น ครั้นเมื่อตายไปแล้ว หากว่าแล้วกันไปก็หมดเรื่องหมดราว แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ตราบใดที่ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตาย ซึ่งเรียกว่าวัฏฏสงสารนั้น มีอยู่หลายที่หลายแห่ง ที่หนึ่งๆ จะเรียกว่า โลกหนึ่งๆ ก็ได้ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีโลกอยู่มากมาย เช่น โลกนรก โลกมนุษย์ และโลกเทวดา เป็นต้น เราตายไป แล้วใช่ว่าจะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อยู่ร่ำไปก็หาไม่ อาจจะไปเกิดในโลกอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะไปเกิดในโลกไหน และเกิดเป็น อะไรนั้น ก็สุดแต่กรรมที่ทำไว้ หรือตามสภาพของจิตของแต่ละบุคคล และการที่จะไปเกิดแต่ละครั้งนั้น ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ปุบปับไป เกิดส่งเดชอย่างนั้นเอง ไม่ต้องมีเหตุมีผลอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริง สัตว์ที่จะตายไปเกิดนั้น ก่อนที่ตายลงไปจริงๆ ย่อมต้องเกิดมี อารมณ์ ขึ้นก่อน อารมณ์นี้ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับเป็นมัคคุเทศน์ชี้ทางบอกให้ผู้ตายรู้ล่วงหน้าว่าตนจักไปเกิด ในโลกไหน มีสุขมีทุกข์ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร จักไปเกิดในโลกใหม่ซึ่งมิใช่โลกมนุษย์ หรือว่าจักได้กลับมาเกิดในมนุษย์โลก อีกต่อไป
อารมณ์ก่อนตาย
กาลเมื่อสัตว์ทั้งหลายใกล้จะถึงแก่มรณะ ย่างเข้าสู่แดนมฤตยู แล้วจะไปบังเกิดอยู่ในโลกอื่นต่อไปนั้น ในมรณาสันกาล คือ กาลที่ใกล้จะตายนั้น ย่อมมีอารมณ์ ๓ ประการ ปรากฎเป็นอารมณ์แห่งปฏิสนธิจิตก่อน ดังต่อไปนี้
๑. กรรมารมณ์ ได้แก่ กรรมที่ตนเคยกระทำไว้แต่ก่อนๆ มาปรากฎให้ระลึกขึ้นได้ ในขณะที่กำลังร่อแร่จะตาย
ในพริบตานี้ ถ้าเป็นผู้มีบาปเคยทำอกุศลกรรมไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฎเป็นภาพให้เห็นชัดในมโนทวาร เช่น ตนเคยฆ่าคนไว้ ภาพที่ตนฆ่าคนก็มาปรากฎ ตนเคยเตะถีบด่าว่าพ่อแม่เอาไว้ หรือจะเป็นคนติดเหล้าดื่มสุราเมรัยเป็นประจำ เคยทำ อทินนาทานลักขโมยและปล้นคนอื่น เคยประพฤติกามมิจฉานอกใจสามีภรรยาเอาไว้ ก็จะปรากฎภาพให้เห็นชัดเจนอย่างที่ตัว ทำไว้ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจิตก็ยึดหน่วงเอาภาพเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ เมื่อดับจิตจะตายลงไป ก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ เช่น โลกนรก เป็นต้น หากว่าตนเคยทำกุศลกรรมเอาไว้ ในขณะนี้ก็จะปรากฎเป็นภาพให้เห็นอย่างชัดเจนในมโนทวารคือทางใจ เหมือนกัน เช่น ตนเคยบริจาคทาน เคยทำบุญเลี้ยงพระ เคยขุดสระสร้างศาลา เคยรักษาศีล ก็จะเห็นเป็นภาพของตัวเอง กำลังกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอย่างแจ้งชัดจำได้ ทำให้ใจคอชุ่มชื่น แล้วดับจิตตายลงไปทันใด อารมณ์อันดีงามนี้ก็จะน้อมนำ ไปเกิดในสุคติภูมิ อารมณ์เหล่านี้เรียกว่า กรรมารมณ์ ที่ปรากฎแก่คนที่ใกล้จะตาย ในขณะที่เขากำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยู เขาเห็นของเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น เราท่านเวลานี้ยังไม่เห็น เพราะยังไม่ตาย ยังมีชีวิตเป็นปกติอยู่ถ้าอยากจะเห็นก็อดใจรอไป ก่อน โน่นจวนจะดับจิตตายโน่นแหละเป็นเห็นแน่ แต่ถ้ากรรมารมณ์ไม่ปรากฎให้เห็น ก็จะปรากฎอารมณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ
๒. กรรมนิมิตตารมณ์ ได้แก่ อุปกรณ์ของการกระทำในอดีตมาปรากฎให้เห็น เพราะตามธรรมดาในการประกอบกรรม
ทุกชนิด ย่อมมีอุปกรณ์เครื่องทั้งสิ้น เช่น จะทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ฆ่าคน ก็ต้องมีดาบ มีด ปืน แหลน หลาว เป็นเครื่องมือ หรือจะทำบุญทำทาน ก็ต้องมีอาหาร เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์เหล่านี้จะมาปรากฎเป็นกรรมนิมิตในขณะที่ จะดับจิตมองเห็นเป็นภาพชัดเจนเป็นยิ่งนัก ในทางอกุศลก็จะปรากฎเครื่องมือของการกระทำบาปให้เห็นในขณะนี้ เช่น เห็นมีด ปืน หอก ดาบ เครื่องมืการพนัน การชนไก่ กัดปลา เรือกสวนไร่นาที่โกงเขาไว้ อะไรเหล่านี้เป็นต้น สุดแต่จะเคยทำชั่วด้วยสิ่งใด ก็จะมาปรากฎให้เห็นระลึกได้ จิตยึดหน่วงเป็นอารมณ์ ดับจิตตายไปก็น้อมนำไปเกิดในทุคติภูมิ ในทางกุศล ถ้าตนเคยทำบุญ
ไว้ด้วยสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาปรากฎให้เห็นเหมือนกัน เช่น เห็นผ้าไตรเครื่องกฐินที่ตนเคยทอดถวายไว้ เห็นเครื่องสักการบูชา ดอกไม้ที่ตนเคยทำการบูชาไว้ เห็นขบวนแห่ในการทำบุญต่างๆ เห็นกุฏิวิหารที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้าเป็นคนภายนอกศาสนาเช่น ฝรั่งมังค่า ก็เห็นโรงพยาบาลหรือสถานที่สาธารณะที่ตนมีน้ำใจ เป็นกุศลสร้างเอาไว้ อะไรเหล่านี้ อันเป็นอุปกรณ์เครื่องมือใน การทำกุศลกรรม มาปรากฎให้เห็นอย่างแจ่มชัดทีเดียว จิตยึดเหนี่ยวเอาเป็นอารมณ์แล้วดับลง ก็ตรงไปอุบัติเกิดในสุคติภูมิ อุปกรณ์แห่งการกระทำต่างๆ เหล่านี้เรียกว่า กรรมนิมิตตารมณ์ ย่อมจะปรากฎให้คนที่ใกล้จะตายได้เห็น ในขณะที่กำลังย่าง เข้าสู่แดนมฤตยู แต่ถ้ากรรมนิมิตตารมณ์ไม่ปรากฎ อารมณ์อีกอย่างหนึ่งก็ปรากฎ นั่นคือ
๓. คตินิมิตตารมณ์ ได้แก่ นิมิตต่างๆ อันบ่งบอกถึงคติของโลกที่ตนจะต้องไปเกิดในเวลาที่ดับจิตไปแล้ว ปรากฎขึ้นให้เห็นชัดเจนทางมโนทวาร บางทีก็เป็นภาพที่ตนเคยเห็น บางทีก็เป็นภาพที่ตนไม่เคยเห็น แต่ส่วนมากเป็นภาพ
ที่ตนไม่เคยเห็นทั้งสิ้น แบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
ก. ถ้าจะเกิดในโลกนรก เมื่อจะขาดใจนั้น ย่อมเห็นเป็นเปลวไฟร้อนระอุ เห็นหม้อเหล็กแดง เห็นไม้งิ้วหนามเหล็ก เห็นฝูงปีศาจราชฑูต รูปร่างพิกล ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือไม้ค้อนเหล็กจะตีกบาล หรือถือหอกเหล็กโตเท่าลำตาลจะพุ่งมาที่
ทรวงอก หรือมาชุดกระชากลากตัวไป บางทีเห็นเป็นแร้งกากำลังมาจะฉีกกัดเลือดเนื้อของตัวกิน เขาผู้จวนจะตายนั้นย่อม เห็นอย่างชัดเจน ทำให้มีความตกใจสะดุ้งกลัวใจสั่นระรัว ถ้าส่งเสียงได้ในขณะนี้ ก็จะร้องโวยวายให้คนทั้งหลายช่วย เป็นน่าสงสารยิ่งนัก นิมิตนี้ชี้ว่า เขาผู้นั้นต้องไปตกนรกแน่นอน
ข. ถ้าผู้ตายนั้นจะไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นหุบเขาหรือถ้ำอันมืดมิด บางทีก็เห็นเป็นแกลบข้าวลีบ มากมาย ให้รู้สึกหิวโหยอาหารและกระหายน้ำเป็นกำลัง บางครั้งก็เห็นเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง น่ารังเกียจน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก บางครั้งก็เห็นเป็นเปรตอสุรกายมีร่างกายใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว เนื้อตัวสกปรกรุงรัง ภาพดังกล่าวนี้มาปรากฎในมโนทวาร ให้เห็นชัดเจนแจ่มใส นิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย
ค. ถ้าผู้ตายนั้นจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมเห็นคตินิมิตเป็นทุ่งหญ้าป่าไม้ เชิงเขา ชายน้ำ กอไผ่ ภูเขา บางทีก็ เห็นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มาปรากฎ เช่น เห็นเป็นเนื้อถึก โคกระบือ หมู หมา เป็ด ไก่ เหี้ย นก หนู จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ ไส้เดือน เหล่านี้เป็นต้น มาปรากฎอย่างชัดเจนแจ่มใสทางมโนทวารคือทางใจ อย่างนี้ก็เป็นนิมิตชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจะได้ไปบังเกิดในกำเนิด สัตว์เดรัจฉาน
ง. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลกนี้อีก เขาย่อมจะเห็นคตินิมิตขณะที่จวนจะดับจิตนี้เป็นก้อนเนื้อ คือ เห็นเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ อยู่ในครรภ์มารดา หรือเห็นครรภ์มารดาในชาติหน้าซึ่งจะมาถึงในพริบตานี้ปรากฎให้เห็นเป็นภาพ
ชัดเจนแจ่มใส เมื่อเห็นไปเช่นนี้ ก็เป็นนิมิตชี้ให้รู้ว่าเขาผู้นั้นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้
จ. ถ้าผู้ที่ตายนั้นจะได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาในสวรรค์เทวโลก เขาย่อมจะเห็นคตินิมิตเป็นทิพยวิมาน เห็นปราสาท ราชวังอันสวยสดงดงามซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรือเห็นสิริไสยาสน์ที่นอนอันประเสริฐปรากฎในทิพยพิมาน แล้วไปด้วยแก้ว และทองมีประการต่างๆ งดงามนักหนา บางทีก็เห็นเป็นเทพบุตรเทพธิดาชาวฟ้าชาวสวรรคพากันขับระบำรำฟ้อน เป็นที่เริงสราญชื่นบานยิ้มแย้มแจ่มใส ประดับกายด้วยอาภรณ์อันประณีตสวยงามน่าดูชม อารมณ์เหล่านี้มาปรากฎเป็นภาพ ให้เห็นชัดทางมโนทวาร ทำให้ผู้จะถึงกาลกิริยาตายนั้นมีจิตใจเพลิดเพลิน เกิดความยิ้มย่องผ่องใสโสมนัส บัดนี้ ถ้ามีผู้สังเกตดูหน้าตาก็จะรู้ว่า เขาจะหลับตาตายอย่างสุขสงบไปพบสุคติแน่ในไม่ช้า เพราะนิมิตนี้ชี้ให้รู้ว่า เขาผู้นั้นจักได้ไปเกิด ในสวรรคเมืองฟ้าเป็นเทวดาแน่นอน
จึงเป็นอันว่า ก่อนที่จะดับจิตตายลงไป คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยูนั้น คตินิมิตย่อมบังเกิดปรากฎต่างๆ ดังกล่าวมา และการปรากฎของนิมิตเหล่านี้ บางทีก็ไม่ปรากฎอย่างเดียว เพราะบางคนเคยทำกองการกุศลไว้ก็มี และพร้อมกัน นั้นก็เคยทำบาปกรรมไว้บ้างก็มี ทำดีทำชั่วปนกันไว้ตามประสาคนมีกิเลสติดสันดานอย่างนี้ คราทีจะตาย บางทีก็เห็นเป็นนิมิต ปรากฎหลายอย่าง เดิมทีนิมิตฝ่ายข้างนรกบังเกิดก่อน แล้วนิมิตข้างสวรรคเทวโลกมาบังเกิดให้เห็น บางทีนิมิตข้างสวรรคเทวโลก มาปรากฎให้เห็นก่อนแล้วนิมิตข้างฝ่ายนรกมาบังเกิดซ้อนให้เห็นทีหลัง บางครั้งนิมิตฝ่ายข้างมนุษย์มาบังเกิดปรากฎให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานจึงย้อนมาปรากฎอีกเล่า บางทีนิมิตฝ่ายเดียรัจฉานปรากฎให้เห็นก่อน แล้วนิมิตฝ่ายมนุษย์จึง
มาปรากฎให้เห็นทีหลัง เมื่อเป็นดังนี้ นิมิตที่ปรากฎทีหลังย่อมมีกำลังกว่า จิตของเขาผู้จะตายยึดหน่วงเอาเป็นอารมณ์ ย่อมนำไปสู่คติตามที่นิมิตทีหลังปรากฎ ในกรณีที่นิมิตปรากฎหลายชนิดนี้ พึงเห็นตัวอย่างดังต่อไปนี้
สามเณรเฒ่า
ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฎในนามพระศาสนาว่า พระโสณเถระ ท่านเป็นผู้มีปัญญาวิสารทะคือแกล้วกล้าชำนิชำนาญ ในพระปรมัตถธรรม รู้อรรถอันสุขุมลุ่มลึกในพระพุทโธวาท พระผู้เป็นเจ้ามีปกติอยู่เป็นประจำ ณ เชิงเขาโสณคิรีบรรพต ตามสมณวิสัย ส่วนบิดาของพระคุณเจ้ามีอาชีพเป็นพรานไพร ท่องเที่ยวไปในอรัญพร้อมด้วยฝูงสุนัข เพื่อล่าเนิ้อถึกมฤคีทุกวัน พระโสณะผู้บุตรนั้นห้ามปรามว่ากล่าวแก่บิดาอยู่เสมอ แต่พรานเฒ่าผู้มีสันดานหยาบนิยมไพรไม่เชื่อฟัง ยังแอบเข้าป่าไปล่าเนื้อ อยู่เนืองนิตย์ เมื่อชราภาพลงร่างกายอ่อนแอเข้าป่าไม่ไหวแล้ว พระคุณเจ้ามีจิตเอ็นดูกรุณาแก่บิดา จึงบอกว่า " บิดาเป็น
ผู้ชราแล้ว แต่นี้ไปก็จักเป็นผู้มีความตายไปในเบื้องหน้าไม่ช้านี้ ฉะนั้น ท่านอย่าฉิบหายจากสิ่งอันเป็นกุศลเสียเลย จงตั้งหน้ารักษาศีล คือ จงบวชเสียเถิด! " ตาเฒ่าไม่ศรัทธา ได้ฟังภิกษุผู้บุตรว่ามาดังนี้ ก็ตกใจรีบบอกปฏิเสธเป็นพัลวัน อ้างโน่นอ้างนี่กล่าวเป็นโวหารบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงมากมาย พระเถรเจ้าก็มิว่ากระไร แต่ในไม่ช้า ก็มาว่าขานประสงค์จะให้พราน ผู้บิดาบวชอีก พรานเฒ่าก็ปฏิเสธเช่นเคย พระเถรเจ้าเฝ้าชี้แจงอ้อนวอนพรานบิดาอยู่นานหนักหนา ในที่สุดพรานบิดา
ก็ยอมบวชแต่เป็นเพียงสามเณรเพื่อรักษาน้ำใจบุตรผู้อ้อนวอนไว้ พระเถระก็สอนให้รักษาสิกขาบทสิบไม่ให้ขาดได้
พอสามเณรแก่บวชแล้ววันเดียว ก็เกิดอาพาธหนัก ใกล้ตายเต็มที ลงนอนบนเตียงคิลานไสยาสน์ ไม่อาจลุกขึ้นได้ ในขณะที่สามเณรเฒ่ากำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยูนั้น พลันนิมิตอกุศลก็มาปรากฎก่อน คือ ให้เห็นเป็นสุนัขใหญ่ๆ วิ่งออกมา
จากเชิงเขา แล้วเข้าแวดล้อมสามเณรเฒ่านั้น แสดงอาการราวกะว่าจะกัดเนื้อหนังมังสาเป็นภักษาหาร พรานใจบาปผู้เป็นเณร เฒ่าเห็นเช่นนั้นเข้าก็สะดุงตกใจกลัว ใจสั่นระรัวร้องโวยวายขึ้น เรียกพระเถระผู้เป็นบุตร ซึ่งนั่งเฝ้าพยาบาลอยู่ใกล้ๆ ให้ช่วย
ห้ามสุนัข พระเถระจึงถามว่า " ดูกรบิดาท่านเห็นซึ่งสิ่งดังฤา? " สามเณรเฒ่าจึงเล่าแจ้งทุกประการว่า " ดูกร ผู้เป็นบุตรเอ๋ย! บิดานี้ได้เห็นหมู่สุนัขมันวิ่งมาเป็นอันมาก ล้วนแต่ดุร้ายแยกเขี้ยวจะกัดกินบิดา ขอพ่อจงมีจิตเอ็นดูแก่บิดา ช่วยห้ามปรามมัน เสียทีเถิด
พระโสณเถระผู้เป็นบุตรจึงปริวิตกว่า " บิดาเรา ชะรอยจะไปเกิดในนรกเป็นแน่แท้ จึงให้ปรากฎเห็นนิมิตเช่นนี้ ก็บัดนี้ถ้าบุญมีอยู่บ้าง หากบิดายังไม่ตายแล้วไซร้ เราจะช่วยให้สมกับบิดาของบุตรผู้มีปัญญาเช่นกับตัวเรา " คิดแล้ว
พระผู้เป็นเจ้าจึงตรวจดู ก็รู้ว่าบิดายังไม่ตาย เพียงแต่ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเท่านั้น จึงลุกเดินออกมาข้างนอก ออกคำสั่งสามเณร เด็กทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ตน ให้ไปเก็บบุปผชาติต่างๆ มากระทำเป็นเครื่องลาดดาดประดับดอกไม้สักการบูชา ณ ลานเจดีย์ ศรีมหาโพธิ์เป็นอันมากแล้ว จึงให้ช่วยหามเตียงของสามเณรแก่ผู้บิดา ไปยังลานเจดีย์โดยไว พอเณรเฒ่าได้สติลืมตาขึ้น พระเถระจึงชี้ให้ดูดอกไม้นานาพันธ์สีสันสวยสด ปรากฎตั้งอยู่ที่ใกล้พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์เป็นเครื่องสักการบูชา แล้วสอนว่า
" บิดาจงยังจิตให้เลื่อมใสเป็นอันดีดอกไม้เหล่านี้เป็นของบิดา เขาหามาเพื่อให้บิดาได้กระทำสักการะพระเจดีย์อย่างนี้จะเป็นที่ พอใจหรือไม่? " ครั้นเห็นบิดาผู้ใกล้จะตายพยักหน้ารับเอาแล้วจึงสอนต่อไปว่า " แต่นี้บิดาจงทำใจให้ดี แล้วว่าในใจตามข้าพเจ้า
...ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมไตรโลกนาถ อยํปูชา เครื่องสักการบูชาเหล่านี้ ข้าพระองค์ขอน้อมถวาย อุทิศแด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำสักการบูชาแด่พระองค์ เครื่องสักการบูชาอันเป็นทุคตบรรณาการนี้ เป็นของข้าพระองค์น้อมถวายกระทำการบูชาแด่พระองค์ "
สามเณรแก่ประณมมือว่าตามถ้อยคำที่พระเถระผู้บุตรสอนอยู่ในใจ เพราะป่วยหนัก ออกวาจามิได้ แต่ในใจเลื่อมใส ชุ่มชื่นนักหนา พอบูชาเสร็จก็หลับตาลง ขณะนั้นนิมิตข้างสวรรคเทวโลกก็พลันบังเกิดขึ้น บันดาลให้สามเณรแก่เห็นเป็น
ทิพยวิมาน พร้อมทั้งสวนนันทวันและสวนผรุสกวันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่พอภาพนั้นเลือนหายไป ภาพใหม่ก็ปรากฎมาอีกเล่า เป็นชาวสวรรค์เทพอัปสรกัญญามาแวดล้อมอยู่โดยรอบ ตาแก่ชอบใจจึงมีแรงออกโอษฐ์ขับไล่พระเถระผู้เป็นบุตรว่า
" ดูกรพระโสณะ! ท่านจงถอยออกไปหน่อย " พระเถระจึงค่อยถามว่า " บิดาเห็นสิ่งใดหรือ จึงมาขับข้าพเจ้าเสียฉะนี้ " สามเณรเฒ่าจึงมีวาจาตอบว่า " นางเทพอัปสรที่จะเป็นมารดาของท่าน มาแวดล้อมต้อนรับเรา ท่านจงหลีกเขาหน่อยเถิด อย่าให้เขาต้องเข้าใกล้ตัวท่านผู้เป็นสมณะ " พระโสณเถระก็รู้แจ้งว่า นิมิตข้างสวรรค์มาปรากฎเช่นนี้ บิดาตนจักต้องไปเกิดใน สรวงสวรรค์แน่นอน พระเถระคิดฉะนี้แล้ว ก็ถอนใจมองดูบิดาหลับตาตายอย่างเป็นสุข
อารมณ์ปฏิสนธิจิตแห่งสรรพสัตว์ในโลกทั้งหลาย ซึ่งบังเกิดขึ้นในขณะใกล้จะตาย ๓ ชนิด คือ กรรม ๑
กรรมนิมิต ๑ คตินิมิต ๑ ดังกล่าวมานี้ย่อมเกิดแก่สรรพสัตว์ทุกรูปนาม ไม่มียกเว้นว่าจะเป็น มนุษย์หรือสัตว์ อารมณ์เหล่านี้ย่อมอุบัติเกิดขึ้นอย่างเที่ยงแท้ไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะตายด้วยอาการอย่างใดก็ตาม ก็ต้องเกิดขึ้น
ก่อนแล้วจึงตาย ถ้าไม่เกิดอารมณ์เหล่านี้ก็ยังไม่ตาย แม้บุคคลที่กำลังเดินไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วถูกคนย่องมาข้างหลัง แอบฟันด้วยดาบอันคมกล้าคอขาดกระเด็น เช่นนี้ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั้นก็ต้องปรากฎขึ้นก่อน แล้วจึงดับจิตตายไป มิฉะนั้นคนกำลังนอนหลับเพลินอยู่ ถูกคู่อริใจขลาดย่องเข้ามาแล้วเงือดเงื้อซึ่งดาบอันคมกริบ ฟันคอสุดแรงเกิด จนศรีษะหลุด จากบ่า อย่างนี้เขาก็ต้องเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ นั้นก่อน แล้วจึงจะขาดใจตาย แม้คนที่โชคร้ายจมลงในน้ำลึก ก่อนที่จะขาดใจตาย อารมณ์เหล่านั้นย่อมพลันมาปรากฎให้เห็นก่อนเช่นเดียวกัน เพราะวาระจิตนั้นเร็วพลันหนักหนา พึงทราบว่า แม้แต่แมลงวัน ตัวหนึ่งบังเอิญมาเกาะอยู่ที่ด้ามสิ่ว ในขณะที่คนงานเงือดเงื้อค้อนขึ้นแล้วตอกลงที่ด้ามสิ่วนั้นโดยพลัน ถูกแมลงวันบี้แบน
ตายทันที! อย่างนี้ก็คงมีกรรมหรือกรรมนิมิต คตินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฎเป็นอารมณ์ขึ้นก่อนแล้ว แมลงวันนั้นจึงจะทำกาล กิริยาตายไป ดังนั้น เราท่านทั้งหลายก่อนที่จะขาดใจตาย คือ ในขณะที่กำลังย่างเข้าสู่แดนมฤตยู ย่อมเห็นอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เมื่อต้องเห็นแน่แล้วก็ขอให้เห็นอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศลเถิด อย่าเกิดเห็นอารมณ์ฝ่ายอกุศลเลยจะเป็น การดี แต่การที่จะเป็นไปตามความปรารถนาเช่นว่ามานี้เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยากหนักหนา เพราะว่าใจเรานี้ย่อมเป็นอนัตตา ใครจะไปบังคับบัญชาไม่ได้ จะคิดจะเห็นอะไรก็เป็นไปตามเรื่องตามราวที่เขาปรารถนา หากว่าจิตใจเป็นอัตตา เราสามารถ บังคบบัญชาได้แล้วไซร้ ป่านนี้ก็น่าดูน่าชม คือ พวกเราไม่ต้องทำบุญทำกุศลอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่สั่งบังคับจิตของตนไว้
เสียแต่ในตอนที่กำลังดีๆ อยู่ คือในขณะนี้เลยทีเดียวว่า " เว้ย...เฮ้ยเจ้าจิต! เวลาตูข้าจะขาดใจตายนั้น เจ้าต้องเห็นคตินิมิต
ที่ดีๆ คือทิพยวิมานเมืองแมนแดนสวรรค์นะเว้ย อย่าลืมเสียล่ะ เพราะข้าอยากจะไปเกิดบนสวรรค์เมืองฟ้า " สั่งไว้เสียอย่างนี้ ก็สิ้นเรื่อง ไม่ต้องสิ้นเปลืองทำบุญให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ แต่นี่มันใช่เช่นนั้นที่ไหนเล่า เพราะเจ้าจิตของเรานี้มีสภาวะเป็น อนัตตาหาตัวตนมิได้ ใครจะสั่งอย่างใดย่อมไม่ฟังทั้งสิ้น ถวิลหาสิ่งใดย่อมจะเป็นไปตามใจชอบ เมื่อจิตชอบบาป มีบาปสลักอยู่ ในจิต ครั้นจวนจะตาย ก็จะเห็นนิมิตที่เป็นบาป ตรงกันข้าม คือ หากว่าจิตชอบกุศล ก็ย่อมจะเห็นนิมิตอารมณ์ที่เป็นบุญกุศล ดีงาม ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเห็นอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก่อนที่จะขาดใจตาย เพราะเกรงว่าจะพาเราไปอบาย ก็ต้องพยายามฝึกจิต ของเราให้ชอบในบุญกุศลเสียแต่บัดนี้ แล้วเมื่อถึงที่สำคัญที่ว่านั้น จิตก็จะเห็นอารมณ์ที่ดีงามเป็นกุศลเอง นี่แลเป็นทางเดียว ที่จะนำเราไปสู่สุคติภูมิได้
การ ตายแบบนี้ ตายแล้วก็ไปรอลืมภพลืมชาติอยู่ในโลกของวิญญาณก่อน 108 วันตามเวลาของโลกมนุษย์ โบราณเขาจึงจัดให้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กัน 7 วันบ้าง 50 วันบ้าง 100 วันบ้าง เพราะคนโบราณเขารู้และมีประสบการณ์ เชื่อว่าวิญญาณของคนตายยังไม่ไปไหน เมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ในช่วงนี้ วิญญาณจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกัน เมื่อวิญญาณลืมภพลืมชาติไปแล้ว วิญญาณก็จะไปเสวยผลบุญหรือผลกรรมที่ได้กระทำกันไว้ต่อไป
คนที่ตายเพราะ หมดภพหมดชาติหรือหมดกรรม เป็นการตายตามกรรมกำหนด วิญญาณช่วงที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อรอให้ลืมภพลืมชาติ จึงยังมีสิทธิและโอกาสที่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หลานและเพื่อนฝูงได้ตามที่จิตต้องการ แม้การไปเยี่ยมเยียนครั้งสุดท้าย ฝ่ายมนุษย์จะต้องมองไม่เห็นทางวิญญาณ ก็สามารถทำเหตุบอกให้มนุษย์รู้ได้ว่าเขามาหาแล้ว เช่น มาปรากฎตัวให้เห็น หรือทำให้มีกลิ่นเหม็นหรือหอมไปกระทบจมูกของคนที่วิญญาณเขาต้องการไปหา
ไม่ ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้สังเกตกันไหม เวลาที่มีญาติหรือคนที่เรารักตายไปใหม่ๆ แล้วเรามานั่งพูดถึงเขากันที่บ้าน ทั้งๆที่เขาตั้งศพสวดกันที่วัด และอยู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นๆมากระทบจมูก นั่นแหละวิญญาณของคนที่กำลังพูดถึงเขามาหาแล้ว หากใครได้เจอปรากฎการณ์ดังกล่าว ให้รีบกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขาเสียในตอนนั้นเลยจะดีมาก
เมื่อ พูดกันมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านสงสัยว่า ทำไมญาติของเขาตายไปแล้วไม่เห็นมาเข้าฝันเขาบ้างเลย เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวิญญาณของคนที่เราต้องการให้เขามาเข้าฝันเขาไป แล้วน่ะซิ จะไปผุดไปเกิดหรือไปรับผลบุญผลกรรมบนสวรรค์ นรกอะไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
บาง วิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรือไปรับกรรมดี กรรมชั่วอะไรในนรกสวรรค์ แต่หลงล่องลอยไปในที่ต่างๆจนลืมถิ่นฐานของเขาก็มี เลยทำให้ไม่ได้มาบอกกล่าวหรือเข้าฝันเรา ดังนั้นท่านที่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เราเคารพนับถือตายไปแล้วไม่มาเข้าฝัน เราเลย ก็อย่าไปคิดอะไรมาก คิดเสียว่าท่านเหล่านั้นได้ไปเกิดหรือไปเสวยสุขบนสวรรค์ก็ได้ หากเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะไปลำบาก ก็สร้างบุญ ทำกุศลกรวดน้ำไปให้เขาบ่อยๆ ซิครับ
เห็นหรือยัง ว่าการตายก่อนกำหนดนั้น มันไม่ได้ทำให้หมดทุกข์หมดปัญหาเหมือนอย่างที่เข้าใจกัน มีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ให้กับวิญญาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ขนาดเรายังเป็นๆหรือมีชีวิตอยู่ เรายังลำบาก เรายังได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย ตอนเรายังไม่ตาย เรายังสามารถช่วยตัวเราให้ลดความทุกข์ต่างๆได้ เช่น ไปสร้างบุญทำกุศล รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เวลาหิวก็พอจะดิ้นรนหามากินเพื่อบรรเทาความหิวกระหายได้ แต่ตอนเราตายไปเป็นสัมภเวสีนี่สิ มันลำบากและอดอยากกว่าตอนที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่มาก
เรื่อง ของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แล้วแต่ภูมิปัญญาบารมีของใครจะละเอียด สามารถเข้าใจเรียนรู้ได้หมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการให้ผลของกรรมเปรียบเสมือน โคที่ถูกต้อนเข้าคอก ตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าคอกไปจนถึงตัวสุดท้ายที่อยู่ปากคอก ครั้นถึงเวลาปล่อยวัวออกจากคอก วัวตัวที่มันอยู่ปากคอกก็จะได้ออกก่อน
กรรม ของคนเราก็เหมือนกัน กระทำทุกอย่างไปไม่ว่าจะดีหรือจะเลว พอใกล้วินาทีสุดท้ายของชีวิต จิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งใดหรือทำความชั่วความไม่ดีอะไรในตอนนั้น กรรมตัวที่กำลังจะตาย จะให้ผลก่อนหลังจากตายลง
ทาง พระท่านว่าอสัญกรรมให้ผลก่อน ฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายด้วยจิตเป็นทุกข์ จึงเชื่อว่าจิตที่เป็นทุกข์หรือมีแต่ความชั่วของเขานั้น ขณะวินาทีสิ้นใจเขาจะไม่เป็นสุขแน่ สรณะที่พึ่งก็ไม่มี แม้แต่ก่อนตายยังไม่หาที่พึ่ง แล้วอะไรล่ะจะเป็นที่พึ่งเป็นเสบียงในยามนั้น อนิจจา…วิญญาณต้องร่อนเร่พเนจร อดๆอยากๆและหิวโหยแสนสาหัส ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบได้
บาง ครั้งสัมภเวสีพวกนี้ ร่อนเร่พเนจรไปสร้างกรรมทำเวรเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าไปแทรกสิงอยู่ในตัวของ มนุษย์ที่วิบากกรรมกำลังส่งผลอยู่ให้ตกต่ำเดือดร้อนต่างๆนานา บางคนก็คลุ้มคลั่งเสียสติไปเลย มีไม่น้อยที่ไปคอยกลั่นแกล้งทำให้สามีภรรยาเขาเลิกกัน หรือไม่ก็พรางหูพรางตาให้เขาค้าขายไม่ดี หรือไม่ก็ไปทำให้มนุษย์เขาเจ็บป่วย รักษากันเท่าไรไม่หาย เป็นต้น
พระ พุทธเจ้าทรงสอนว่า ขณะมีชีวิตอยู่อย่าประมาท จงสร้างกุศลไว้ให้มาก เพราะมันจะเป็นเสบียงเดินทางและพาสปอร์ตไปสู่สวรรค์ชั้นดีๆเมื่อความตายมา ถึงจะได้ไม่ลำบาก และไม่ต้องอดอยากหิวโหย
ชีวิต ของคนเรามันช่างสั้นนัก เมื่อเกิดมาแล้วใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องจากไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เชยชม นอกจากชื่อเสียงคุณงามความดีและบุญกุศลที่สร้างสะสมเอาไว้ เมื่อเราเกิดมากับเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ควรทำคุณงามความดีและบุญกุศลเอาไว้ให้มากๆ นรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่จริงเราก็ยังไม่รู้ เพราะดวงตาของเรามืดบอดสนิทด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้
เพราะ ฉะนั้นการทำคุณงามความดี เราไม่ต้องไปหวังว่าไม่ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราทำความดี เพื่อความดี เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นพ้นจากความชั่วได้ก็พอ
ผล ของการทำคุณงามความดี ทำให้ผู้ทำสบายใจ มีความสุข และที่สำคัญทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อานิสงส์ของการทำความดี เราจะเห็นได้ด้วยตาของเราเองภายในชีวิตนี้นี่แหละ
ใน ช่วงชีวิตของเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ได้ประสบพบเห็นดี ชั่ว ต่างๆมามากมาย ดีบ้าง เลวบ้าง ไปตามวิถีชีวิตของคนแต่ละคน ทุกคนต่างก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบแต่สิ่งดีๆในชีวิตของตนเองทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากจะพบ อยากจะเจอสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของตนเอง แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลพวงมาจากกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น