ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น? *สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์ วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดี งามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดี งามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป ตำนานมหาเทพ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ วิธีสวดมนต์บูชา ศาสนาพราหมณ์ ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง [ซ่อน] ด • พ • ก เทวดา และเทพารักษ์ ตามความเชื่อของไทย เทวาธิบดี ท้าวจตุโลกบาล (ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวร) · พระอินทร์ · พระสุยามาธิบดี • สันดุสิตเทพบุตร • พระยาปรนิมิตเท วราช • พระยาวสวัตตีมาราธิราช ตรีมูรติ พระตรีมูรติ • พระนารายณ์ (พระวิษณุ) • พระอิศวร (พระศิวะ) • พระ พรหม เทวนพเคราะห์ พระอาทิตย์ • พระจันทร์ • พระอังคาร • พระพุธ • พระพฤหัสบดี • พระศุกร์ • พระเสาร์ • พระราหู • พระเกตุ เทวดาอื่นๆ กามเทพ • พระกฤษณะ • พระพาย • พระพิรุณ • พระอัคนี • พระยม • พระหลักเมือง • พระเสื้อเมือง • พระทรงเมือง • พระกาฬไชยศรี • เจ้าเจตคุปต์ • พระพิฆเนศวร • พระวิศวกรรม • พระเทพบิดร • จตุคามรามเทพ • พระขันทกุมาร• พระไพศรพณ์ เทวสตรี พระแม่กาลี • พระแม่คงคา• พระแม่ทุรคา • พระแม่ธรณี • พระแม่ปารวตี • พระลักษมี • พระสุรัสวดี • พระอุมา
คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป
ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย
สวรรค์ ในความเชื่อทางพระพุทธศาสนา แปลว่า ภูมิหรือ ดินแดนที่มีอารมณ์เลิศด้วยดี จำแนกออกได้เป็น 6 ชั้น คือ จตุมหาราชิ กา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และ ปรนิ มมิตวสวัตดี
สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์ วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัย ของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ค่อยเป็น ไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร(พิทยาธร)ท้าววิรุฬหก ปกครองพวก กุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาพระสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมี สมเด็จอมรินทราธิราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
สวรรค์ชั้นยามา เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้น ไป
สวรรค์ชั้นดุสิต คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพ-สัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
สวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวส วัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้น ไป
นิพพาน (Nibbana) ความสุขใดๆ ในเทวโลกหรือพรหมโลก จะเทียบเท่านิพพานสุขนั้นหาไม่ เปรียบได้ดั่งแสงหิ่งห้อยหรือจะสู้แสงตะวัน หยดน้ำอันติดอยู่ปลายผม หรือจะเท่าน้ำในมหาสมุทร เพราะหยุดเหตุแห่งการเกิดและดับ นิพพานมี 2 จำพวกคือ กิเลสปรินิพพาน นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังเสวยอารมณ์ที่ น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจทางอินทรีย์ 5 รับรู้สุขทุกข์ คือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธุเหลือ ขันธปรินิพพาน ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือนิพพานของพระอรหันต์ ผู้ระงับการเสวยอารมณ์ทั้งปวงแล้ว ในไตรภูมิกถานี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะได้มรรคผลจนสูงถึงที่สุดแห่งภูมิ คือเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ในอรูปภูมิ แต่จิตนั้นยังมีสัญญาอยู่ในสภาวะที่ยังไม่แน่นอน จึงมีดับและเกิด แต่ถ้าได้พิจารณาอริยะสัจ 4 สามารถดับเบญจขันธ์คือ ขันธ์ 5 ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เท่ากับได้ดับกิเลสและกองทุกข์ เข้าสู่สภาวะที่เป็นสุขสูงสุด คือ นิพพาน เพราะไร้กิเลสไร้ทุกข์ เป็นอิสระภาพอันสมบบูรณ์
กำเนิดยักษ์
1) สาเหตุที่เวลาของสวรรค์แต่ละชั้นรวมไปถึงโลกมนุษย์แตกต่างกันเพราะ วงโคจรต่างกันครับ ยกตัวอย่างเช่น 1 วันของดาวพุธเร็วกว่าโลก แต่ 1 วันของโลกเร็วกว่าดาวพฤหัส เนื่องจากวงโคจรของดาวแต่ละดวงรอบดวงอาทิตย์มีรัศมีไม่เท่ากัน ถ้า เอาหลักนี้มาจับวันเวลาของสวรรค์แต่ละชั้น โดยเอาแผนภูมิจักรวาลตามหลักพระไตรปิฎกมาจับ จะพบว่า วงโคจรของดวงอาทิตย์อยู่ในระดับเขาพระสุเมรุ ดังนั้น สวรรค์ตั้งแต่ชั้นที่ 3 เป็นต้นไป จะสว่างด้วยรัศมีของเทวดา เมื่อเรารู้ระดับวงโคจรของดวงอาทิตย์แล้ว และรู้ว่า สวรรค์ชั้นสูงๆ จะอยู่สูงๆ ยิ่งๆขึ้นไปตามแกนเขาพระสุเมรุ ดังนั้นสวรรค์ยิ่งสูงก็ยิ่งห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้นดังนั้น วันเวลาก็ควรจะต้องยาวขึ้น ถูกต้องหรือป่าว ไม่รู้ครับ 2) เหตุที่เวลาผ่านไปนานเพราะเรากำลังใจจรดจ่อและมีความสุขกับสมาธิ เหมือนคนดูหนังที่สนุกๆ หรือได้คุยกันคนที่ถูกใจ ก็จะรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก ถ้าเอาหลักนี้มาจับ คนที่นั่งสมาธิแล้วมีความสุข จึงทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วได้ครับ แต่คนที่นั่งแล้วไม่เป็นสมาธิ จะทำให้ใจกระสับกระส่าย รู้สึกว่า เวลาผ่านไปช้า เหมือนคนต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่นเรียนหนังสือจะทำให้รู้สึกว่ากว่าจะครบชั่วโมงเรียนเวลาจะผ่านไปช้ามาก ในโลกมนุษย์ เวลาของสัตว์ก็ไม่เท่ากันนะคุณ เวลาของแมลงวัน จะเร็วกว่าคนเยอะ แมลงวันจะมองเห็นคนเคลื่อนไหวแบบ สโลโมชั่น แล้วอะไรคือมาตรฐานกลางของเวลาเนอะ ผมว่า ในสถานที่บางแห่ง เวลาอาจจะเร็วกว่านี้มาก จนมองเห็นคนเป็นสโลโมชั่นสุดๆ ก็ได้ จนสามารถประมวลผลทุกกิจกรรมของมนุษย์ มาเป็นบุญบาปได้ คุณยายนับพระธรรมกาย ทีละอสงไขย ทำไมคำนวณเร็วขนาดนั้นเนอะ ลองคิดดู จะค่อนข้างสมเหตุสมผลล่ะ 2. ไอสไตน์เคยเทียบว่า เวลาที่มีความสุข จะผ่านไปเร็วกว่าเวลาที่มีความทุกข์ แต่จิงๆแล้ว ใช้เวลาเท่ากัน ต่างกันที่ความรู้สึก เหตุนี้เอง ผู้มีปัญญาท่านจึงได้นึกสอนใจตัวเองว่า เวลาของพรหมที่อายุยาวนานเป็นร้อยเป็นพันกัปนั้น (โลกเกิดดับเป็นพันๆ ครั้ง) ซึ่งยาวนานมากมายมหาศาลเกินกว่าเครื่องคำนวณใดๆ ในโลกมนุษย์จะคำนวณได้ แต่เมื่อนำไปเทียบกับ อายุของสังสารวัฏแล้วล่ะก็ อายุของพรหม ก็สั้นๆ ราวกับไม่ขีดไฟ ดังนั้น สรรพสัตว์จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง 1. ระยะเวลา ในมหานรกขุม 1 ที่บอกไว้ว่า 1 วันในขุมนี้ = 9 ล้านปีมนุษย์ หมาย ความว่า ถ้าตกนรกตอนนี้ และเวลาบนโลกมนุษย์ผ่านไป 1000 ปีแล้ว เมื่อเทียบระยะเวลาบนโลกมนุษย์กับนรก เท่ากับว่าคนๆนั้นได้รับโทษทัณไม่กี่นาที ใช่ไหมครับ หรือ หมายความว่า เขาได้รับโทษทัณแล้ว เท่ากับเวลาที่โลกมนุษย์ผ่านไป เพียงแต่ว่าระยะเวลา 1 วันในนรกมันยาวนานกว่ามาก กว่าจะสิ้นวันในนรก หรือความหมายเป็นแบบอื่นช่วยอธิบายหน่อยครับ 2. แล้วถ้าเป็นการเทียบระยะเวลาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึง 1 วัน = 100 ปีมนุษย์ ก็คิดเหมือนกันกับในนรกใช่ไหมครับ 3. ได้ดู ภาพวีดีโอ ชนบทบนดาวดึง ที่บอกว่า "บริวารที่เกิดด้วยบุญ" หมายความว่า บริวารนั้นก็คือคนแบบเราที่ไปเกิดบนสวรรค์ หรือหมายความว่า บริวารนั้นเกิดจากบุญ เหมือน วิมาน แก้วแหวน เงินทองครับ ข้อ2. เรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เคยอ่านเจอในหนังสือเรื่องกำเนิดพระอินทร์ พอจะอ้างอิงได้ดังนี้ สมัยหนึ่งมีเทวบุตรชื่อ เอกเทวบุตรได้จุติจากชั้นดาวดึงส์เพื่อไปสร้างบารมีเพิ่มที่โลกมนุษย์ หลังจากละกายมนุษย์ก็กลับมาอุบัติเป็น เทวบุตรบนชั้นดาวดึงส์อีกครั้ง สหายเทวดาได้ถามเอกเทวบุตรว่า ท่านหายไปไหนมาประมาณครึ่งวัน แล้วทำไมรัศมีจึงรุ่งเรืองมากกว่าเดิม เอกเทวบุตรจึงตอบว่า เราได้ลงไปสร้างบารมีที่โลกมนุษย์มา จึงเป็นไปได้ว่า ระยะเวลา 1 วันของชั้นดาวดึงส์ น่าจะเทียบเท่า 100 ปีมนุษย์ เพราะเอกเทวบุตรไปสร้างบารมีบนโลกมนุษย์มา สมมุติว่าเป็นมนุษย์อายุ 50 ปี เท่ากับว่า เอกเทวบุตรได้หายไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครึ่งวันดาวดึงส์ ข้อ3. เคยได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่เล่าให้ฟังเรื่องบริวารของเทวดา พอจะสรุปได้ว่า บริวารของเทวดามี 2 ประเภท คือ 1. บริวารที่เป็นอดีตมนุษย์ที่มีบุญพอจะไปเป็นเทวดา แต่ไม่มีบุญมากพอที่จะมีวิมานเป็นของตนเอง จึงต้องไปเกิดเป็นบริวารของเทวดาที่มีบุญมากกว่าตน ถ้ามีคนอุทิศบุญให้จนมากพอ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นบริวาร ไปมีวิมานเป็นของตนเองได้ 2. บริวารที่เกิดด้วยบุญของเจ้าของวิมานเหมือนกับนายนิรยบาลในมหานรก คือ เทวดาพวกนี้เกิดขึ้นด้วยบุญของเจ้าของวิมาน พอถึงที่เจ้าของวิมานหมดบุญต้องลงมาละจากสวรรค์ บริวารพวกนี้ก็จะหายไป เหมือนกับ นายนิรยบาลของมหานรก ที่เกิดขึ้นด้วยบาปของสัตว์นรกเอง เมื่อสัตว์นรกหมดกรรมที่จะต้องหลุดพ้นจากมหานรก นายนิรยบาลก็จะหายไปเอง หรือจะเรียกบริวารหรือนายนิรยบาลเหล่านี้ว่า เป็น กายสิทธิ์ ประเภทนึงก็ได้ 1. หมายความว่า เวลาในนรก หรือ สวรรค์ ยาวนานมากๆ แม้เวลาในพื้นมนุษย์ผ่านไปหลาย 1000 ปีแล้ว แต่เวลาในมหานรกยังผ่านไปไม่กี่นาทีเองครับ ดังนั้นกว่าจะสิ้นวันในนรก ก็จะต้องทรมาณตามเวลาในเมืองมนุษย์ว่ากันเป็นพันล้านปีทีเดียวล่ะครับ 2. ระบบการคิดเวลาของสวรรค์ก็คิดเหมือนกันกับในนรกครับ 3. ในสวรรค์ชั้นต้นๆ คือ ชั้น 1 และ 2 จะมีบริวาร สองแบบครับ คือ 3.1 บริวารที่เกิดขึ้นด้วยบุญของเจ้าของวิมาน ซึ่งไม่ใช่มนุษย์จริงๆ 3.2 บริวารที่เป็นมนุษย์จริงๆ แต่บุญน้อย ไม่มีวิมานอยู่ จึงต้องไปเกิดเป็นบริวารของเจ้าของวิมานแต่ละวิมานครับ แต่ ถ้าในสวรรค์ชั้นสูงๆ เช่น ชั้น 3, 4, 5, 6 จะมีแต่บริวารที่เกิดขึ้นด้วยบุญของเจ้าของวิมานเท่านั้นครับ จะไม่มีบริวารที่เป็นมนุษย์จริงๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ มนุษย์ที่สร้างบุญเยอะขนาดไปเกิดบนสวรรค์ตึ้งแต่ชั้น 3 ขึ้นไปได้ ย่อมมีบุญมาก จึงไม่ต้องไปเป็นบริวารใครไงล่ะครับ เทวภูมิ เป็นที่อยู่ของ ผู้เจริญในกุศลธรรม เหล่าบุคคลผู้มีความละอายและ เกรงกลัวต่อบาป ได้บังเกิดในสวรรค์ ทุกท่านเป็นผู้ที่กระทำกุศลที่มีกำลังมาก บุญส่งผลให้ บังเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆตามอำนาจของกรรมดีที่ได้ทำไว้ เทวดาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิพยสมบัติ มีร่างกายที่งดงาม มีรัศมีกายที่รุ่งเรือง ไม่แก่และไม่เจ็บป่วย คงความเป็นหนุ่มสาว ตลอดอายุขัยได้รับสิ่งที่เลิศต่างๆอันเป็นทิพย์ สวรรค์จึงเป็นสถานที่เสวยสุข จากกุศลที่กระทำไว้อย่างดีนั้นเอง แต่มิใช่ว่า เทวดาจะมัวเมาในการ เสวยสุข เพียงอย่างเดียว ในทุกวันพระจะมีการแสดงธรรม โดยจะทูลอัญเชิญ เทวดาหรือพระพรหมที่มี ความรู้ในพระสัทธรรมมาแสดงธรรมให้เหล่าเทวดาฟัง เพื่อเจริญสติและไม่ตั้งอยู่ในความประมาทในสังสารวัฏฏ์ สาธุ ขออนุโมทนา พุทธศาสนา แปลว่า ภูมิหรือดินแดนที่มีอารมณ์เลิศด้วยดี จำแนกออกได้เป็น 6 ชั้น คือ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และ ปรนิมมิตวสวัตดี
เทวดาถูกกล่าวถึงอย่างมาก ในพระไตรปิฏก เทพเทวดามีความเคารพพระรัตนตรัยมาก มีความเกี่ยวพันกับ พระพุทธศาสนามาก ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฏก เทวดาที่บรรลุธรรมเป็น พระอริยะสาวก ตั้งแต่พระโสดาบัน มีจำนวนมากกว่ามนุษย์มากมาย เหล่าเทวดาบรรลุธรรมได้ ด้วยการการฟังพระสัทธรรม จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระมหาสาวก นี่คือเหตุผลที่ เทวดาทั้งหลาย มีความเคารพพระพุทธศาสนามาก นอกจากนั้นเทวดาทั้งหลาย สามารถระลึกถึงกุศลที่ได้กระทำแล้วในอดีต ว่าส่งผลอย่างไรแก่ท่านในปัจจุปันนี้ เมื่อเทวดาประจักษ์ใจอย่างนี้ ว่าผลของกุศลมีอยู่จริง ความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ย่อมมีอนิสงส์มากมหาศาล จะเห็นได้จาก เมื่อพระพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพาน เหล่าเทวดาทุกชั้นที่รู้ข่าวได้มาเข้าเฝ้าถวาย ความเคารพด้วยความอาลัย
สวรรค์ ในความเชื่อทางพระ
สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของ เทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็น ทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลา จุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์ วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ใน พระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ค่อยเป็น ไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิง เขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร(พิทยาธร)ท้าว วิรุฬหก ปกครองพวก กุมภัณฑ์ ท้าว วิรูปักษ์ ปกครองพวก นาค ท้าว เวสสุวรรณ ปกครองพวก ยักษ์
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสม เทวธรรม มี หิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมี สมเด็จอมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมี พระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่ สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจาก ท้าวสักกะ
สวรรค์ชั้นยามา เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้าง โบสถ์ บำรุง วัด สร้าง พระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระ ภิกษุที่รักษาพระ พุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
สวรรค์ชั้นดุสิต หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพ-สัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
สวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้น ดุสิตขึ้นไป
สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป นรก สวรรค์ ปัญหาที่เข้าใจยากประการหนึ่ง ก็คือ นรก สวรรค์ พึงทำความเข้าใจดังนี้ นรก คือ ที่อันไม่มีความสุขความเจริญ : ภาวะเร่าร้อน กระวนกระวาย : ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข์ของสัตว์ผู้ทำบาป : เป็นอบายอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างคือ นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย เคยเห็นนรกไหม ? ทุกคนต้องเคยเห็น เช่น สัตว์เดรัจฉาน ความเดือดร้อนของสัตว์เดรัจฉาน ก็คือสภาพของนรกหรืออบาย ความเดือดร้อนของคนที่ต้องโทษทัณฑ์ก็คือสภาพของนรก ความเดือดร้อนของบุคคลบางประเภท ที่มีชีวิตอยู่แร้นแค้นลำบาก ก็คือสภาพของนรก โดยเฉพาะใครก็ตาม มีจิตใจเร่าร้อนกระวนกระวาย ไม่สามารถประคองใจให้สุขสงบได้ หนีไปไหน ๆ ก็เจอแต่ปัญหา เจอแต่คำว่าทุกข์เหลือล้น นั่นคือ คนตกนรก สวรรค์ คือ แดนอันแสนดีเลิศ ด้วยกามคุณ ๕ โลกของเทวดา ตามปกติหมายถึง กามาพจรสวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่ ๑. จาตุมมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓.ยามา ๔. ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรนิมมิตวสวัสดี และชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น ได้แก่ พรหมภูมิเป็นสถานที่ อยู่ของผู้ที่เจริญสมาธิจนได้ ฌาณสมาบัติ โดยที่ฌาณนั้นไม่เสื่อมก่อนตาย พรหมภูมิมีถึง 20ชั้น แบ่งออกได้ดังนี้ ๑. ปาริสัชชา ๒. ปุโรหิตา ๓. มหาพรหมา ๔. ปริตตาภา ๕. อัปปมาณาภา ๖. อาภัสสรา ๗. ปริตตสุภา ๘. อัปปมาณสุภา ๙. สุภกิณหา ๑๐. เวหัปผลา ๑๑. อสัญญีสัตตา ๑๒. อวิหา ๑๓. อตัปปา ๑๔. สุทัสสา ๑๕. สุทัสสี ๑๖. อกนิฏฐา และชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น ได้แก่
อรูปพรหม แปลว่า พระพรหมที่ไม่มีรูปร่าง เพราะเหตุที่จะ อรูปพรหม = พรหมไม่มีรูป เป็นพระพรหมผู้วิเศษ เพราะเหตุอุบัติขึ้นด้วยอำนาจ แห่งรูปวิราคภาวนา
๑๗. อากาสานัญจายตนภูมิ สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนานั้น บรรดาโยคีฤๅษีสิทธิ์ตลอดจนชีไพรดาบส ที่ประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา ครั้นเขาผู้มีอำนาจฌานสูงรำพึงอยู่ดังนี้ ว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย มิได้อาลัยในสรีระร่าง พลางออกจากจตุตถฌานแล้วก็มีใจผ่องแผ้ว ปรารถนา อยู่แต่ในความไม่มีรูป อุตส่าห์เจริญสมถกรรมฐาน ต่อไปจนได้สำเร็จ อรูปฌาน ครั้นถึงกาลกิริยา ตายแล้วก็ตรงแน่วมาอุบัติเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ นาม อรูปพรหม จิตใจนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหัวหูตาตีนมือ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มีเลย เสวยสุขอยู่ด้วยภาวะไม่มีรูป ตามจิตปรารถนา อากาสานัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติซึ่ง ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์
๑๘. วิญญาณัญจายตนภูมิ พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป ซึ่งอุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตน วิบากจิต
๑๙. อากิญจัญญายตนภูมิ พ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อากิญจัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตน วิบากจิต
๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญา ยตนวิบากจิต มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ ๔ มาแล้วทั้งสิ้น ๑. อากาสานัญจายตนะ ๒. วิญญาณัญจายตนะ ๓. อากิญจัญญายตนะ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ สวรรค์ จึงมีความหมาย ตรงกันข้ามกับ นรก นั่นเองถามว่า เคยเห็นไหม ? ทุกคนตอบได้ว่า เคยเห็นคนที่มีความสุขมาก ๆ เป็นอยู่ดี มีความสะดวกสบายมาก นั่นแหละเทวดา นั่นแหละสภาพของสวรรค์ เป็นอย่างนี้ แต่ระวังอย่ามองพลาดเป้า เป้าของสวรรค์นรก ต้องอยู่ที่จิตใจด้วย คนไม่มั่งมีมากมาย แต่มีจิตใจสุขสบาย สงบสว่าง ก็คือ คนเทวดา คนในสวรรค์ คนมั่งมีมากมาย ซึ่งอาจจะได้มาจากทุจริตต่าง ๆ ก็ได้ มองเผิน ๆ อาจมีความสุขมาก แต่ส่วนลึกแห่งหัวใจ แบกทุกข์ระทมเปี่ยมแปร้ อย่างนี้ก็คนนรก คนบางคน มั่งมีสมบัติพัสถาน แต่ตัวเองเจ็บป่วยมาก จะกินจะใช้สมบัติก็ไม่ค่อยได้ กินได้ทีละเล็ก ๆ น้อย ๆ คอยวันตาย ถูกพันธนาการ เจ็บปวดรวดร้าวยาวนาน อย่างนี้ รับสภาพเช่นนรก อย่าหลงคิดว่า เป็นสวรรค์เข้า ความหมายของนรก สวรรค์ จึงมี ๓ อย่าง คือ ๑. สวรรค์ ในอก นรกในใจ ๒. สวรรค์ ในโลกนี้ นรกในโลกนี้ ๓. สวรรค์ในโลกอื่น นรกในโลกอื่น ๑. ผู้ทำชั่ว ทางกาย วาจา ใจ ตายแล้ว ไปนรก ก็มี ทั้งนี้ เพราะบุคคลจำพวกนี้ได้ทำความชั่วต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน ๒. ผู้ทำชั่ว ทางกาย วาจา ใจ ตายแล้ว ไปสวรรค์ ก็มี ทั้งนี้เพราะบุคคลจำพวกนี้ทำความดีไว้มาก ในอดีตชาติก่อน ๆ ความดีนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ ส่วนความชั่วที่เขาทำใหม่ยังไม่ทันให้ผล (กรรมมีลำดับให้ผล) ๓. ผู้ทำความดี ทางกาย วาจา ใจ ตายแล้ว ไปสวรรค์ ก็มี ทั้งนี้ เพราะบุคคลพวกนี้ ทำความดีติดต่อกันมา ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน (ทำความดีต่อเนื่อง ใจผ่องใส ตายลงก็ไปสู่สุคติ) ๔. ผู้ทำความดี ทางกาย วาจา ใจ ตายแล้ว ไปนรก ก็มี ทั้งนี้เพราะบุคคลจำพวกนี้ทำความชั่วไว้มาก ในอดีตชาติก่อน ๆ ความชั่วนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ และถึงเวลาความชั่วให้ผลพอดี ส่วนความดีที่เขาทำใหม่ในชาตินี้ ยังไม่มีโอกาสให้ผล (คือความดียังไม่ถึงเวลาให้ผล) พระพุทธองค์ตรัสไว้เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าได้ตอบปัญหาของคนในปัจจุบัน หลายต่อหลายปัญหา เช่นปัญหาว่า ทำความชั่วอยู่แท้ ๆ ทำไมจึงเกิดผลดีต่าง ๆ กฏเทณฑ์ที่สำคัญ ถ้ายังไม่เข้าใจ ขอให้พึงศึกษา ธรรมสมาทาน ๔ ในมหาธรรมสมาทานสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มีความย่อว่า ๑. "ธรรมสมาทานบางอย่าง ให้ทุกข์ในปัจจุบันด้วย มีวิบากเป็นทุกข์ต่อไปด้วย" คือ บางคนประสบทุกข์อยู่แล้ว ยังทำอกุศลกรรมทั้ง ๑๐ อยู่ และได้เสวยทุกข์โทมนัส เพราะอกุศลกรรมเป็นปัจจัย ๒. "ธรรมสมาทานบางอย่าง ให้สุขในปัจจุบัน แต่มีวิบากเป็นทุกข์ต่อไป" คือ คนบางคนประสบความสุขอยู่แล้ว ยังทำอกุศลกรรม ๑๐ อยู่ และได้สุขโสมนัส เพราะกุศลกรรมเป็นปัจจัย ตายไปกลับต้องถึงทุคติในรูปแบบต่าง ๆ เพราะอกุศลกรรมให้ผล ๓. "ธรรมสมาทานบางอย่าง ให้ทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีวิบากเป็นสุขต่อไป" คือ คนบางคนมีความลำบากยากเข็ญนานา แต่สามารถงดเว้นบาป ตามนัยแห่ง อกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ และมีความทุกข์โทมนัสมาก เพราะทำความดีมีศีลอย่างนั้น แต่ตายไปกลับได้ประสพสุขในสุขคติ โลกสวรรค์ เพราะกุศลกรรมให้ผล ๔. "ธรรมสมาทานบางอย่าง ให้สุขในปัจจุบัน อีกทั้งมีวิบากเป็นสุขต่อไป" คือ คนบางคนมีความสุขสบายดีแล้ว ไม่หลงโลภ ไม่หลงโกรธ ไม่หลงมัวเมา ยังตั้งใจถือศีล เว้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ เขาย่อมได้เสวย ความสุข สงบ สว่าง แม้ตายไปแล้วก็ยังได้ไปเสวยสุข ในสุคติโลกสวรรค์ อีกด้วย จากพระพุทธพจน์เรื่อง ธรรมสมาทานสูตรใหญ่ทั้ง ๔ ข้อ คงทำให้เราเห็นพฤติกรรมของบุคคลต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ว่าบางคนเลวเป็นสันดาน เช่น เกิดมาพิกลพิการแล้วยังก่อกรรมชั่วนานา ซึ่งเป็นเหตุให้พิกลพิการ ทุกข์เดือดร้อนอีก บางคนเกิดมาก็พอมีอยู่ มีกินสบาย ๆ แต่ยังทำชั่ว อันเป็นเหตุให้เดือดร้อนในอนาคตต่อไป แต่บางคนเป็นคนดีโดยสันดาน แม้เกิดมาลำบากยากจน แต่ก็อดทนทำดีมีศีลธรรม อันเป็นเหตุให้ได้รับความสุขต่อไปในอนาคต ฯลฯ "บุคคลบางคน ทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปนั้น นำเขาสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาปนั้น ให้ผลเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น ไม่ปรากฏผลต่อไปอีกเลย" "บุคคลที่ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณธรรมมีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้ ทำบาปเพียงเล็กน้อย บาปนั้นให้ผลอันแสบเผ็ดในชาตินี้เท่านั้น ไม่ให้ผลต่อไปอีกเลย ส่วนคนที่มิได้อบรมตนด้วยคุณธรรมต่าง ๆ ดังกล่าว ใจต่ำ ทำบาปเพียงเล็กน้อย แล้วยังต้องไปตกนรกด้วย" ผลแห่งกรรมตามนัยแห่งจูฬกัมมวิภังคสูตร พระพุทธองค์ตรัสถึงอดีตกรรมของคนเราว่า ส่งผลให้มนุษย์เกิดมามีความแตกต่างกัน พึงทราบโดยย่อดังนี้ ๑. คนบางคน ฆ่าสัตว์เป็นปรกติ มีใจทารุณโหดร้าย มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใด ๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ๒. คนบางคน เว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นปรกติ ฯลฯ (ข้อความคล้ายข้อที่ ๑.) เมื่อตายไป จะเข้าถึงสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ จะเป็นคนมีอายุยืน ๓. คนบางคน ชอบเบียดเบียนสัตว์ให้เดือดร้อน ฯลฯ เมื่อตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ จะเป็นคนมีโรคมาก ๔. คนบางคน ไม่ชอบเบียดเบียนสัตว์ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ จะเป็นคนมีโรคน้อย ๕. คนบางคน มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม ๖. คนบางคน ไม่มักโกรธ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ จะเป็นคนมีผิวพรรณงดงาม ๗. คนบางคน มีใจมักริษยา มีจิตคิดประทุษร้ายเขา อยากให้สมบัติของเขาพินาศ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเป็นคนมีศักดิ์น้อย วาสนาต่ำ ๘. คนบางคน ไม่ริษยาเขาในลาภ สักการะ ความนับถือ ไม่คิดประทุษร้ายเขา ไม่อยากให้สมบัติของเขาพินาศ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเป็นคนมีศักดิ์สูง ๙. คนบางคน ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ให้ทาน ไม่สงเคราะห์ คนที่ควรสงเคราะห์ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเป็นคนยากจน มีโภคะน้อย มีสมบัติน้อย ๑๐. คนบางคน มีจิตใจเสียสละ ชอบให้ทานสงเคราะห์ คนที่ควรสงเคราะห์ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเป็นคนมั่งคง พรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติ ๑๑. คนบางคน ถือตัวจัด กระด้าง ไม่เคารพผู้ที่ควรเคารพ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในตระกูลต่ำ ๑๒. คนบางคน ไม่กระด้าง ไม่ถือตัวจัด เคารพคนที่ควรเคารพ ฯลฯ ถ้าเกิดป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในตระกูลสูง ๑๓. คนบางคน ไม่ชอบสอบถามความสงสัยของตน กับท่านผู้รู้ ผู้ฉลาด ไม่ไต่ถามว่าอะไรเป็นกุศล อกุศล ควรประพฤติ ไม่ควรประพฤติ มีโทษ ไม่มีโทษ ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นคนโง่เขลา ๑๔. คนบางคน มีนิสัยชอบสอบถามท่านผู้รู้ผู้ฉลาด ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้ฉลาด รอบรู้ แหลมคม มีปัญญามาก (จูฬกรรมวิภังคสูตร ๑๔/๓๗๖) พึงระลึกเสมอว่า คนเราเป็นไปตามผลกรรมเก่า และผลกรรมใหม่ด้วย ไม่ใช่กรรมเก่าเป็นเจ้าบทบาทเพียงอย่างเดียว “เทวดามีอายุสั้นเหมือนชีวิตใน โลกมนุษย์” นั่นก็เนื่องมาจากการกระทำของผู้นั้นว่า “ทำบุญ” มามากหรือน้อย ในกรณีเป็นเทวดามีอายุสั้น หมดบุญจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้น ถ้าไม่อยากลงมาเกิดขอต่ออายุเป็นเทวดาสืบไปจะได้ไหม พื้นฐานเบื้องต้นที่ควรรู้คือ เทวดานั้นมีสองประเภท หนึ่งสามัญเทพ คือ เทวดา ทั่วไป สอง อริยเทพ คือ เทวดามีบารมีเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว เช่นเป็นเทวดาที่บรรลุพระโสดาบัน เป็นต้น “หลัก ธรรมมีอยู่ว่า บุคคลที่เป็นพระอนาคามีไปจากโลกมนุษย์ เมื่อไปเกิดเป็นโอปปาติกะในพรหมชั้นสูงก็มีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า ต่อไปท่านจะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภพนั้น โดยไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก และในคัมภีร์ พระ ธรรมบท มักจะมีข้อความในทำนองว่า ในที่สุดแห่งธรรมเทศนาได้มีมนุษย์และเทวดาบรรลุมรรคผลเป็นอันมาก ซึ่งแสดงว่าเทวดาก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ แต่ก็เป็นเทวดาประเภท อริยเทพ เท่านั้น เทวดาทั่วไปไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ คือ ต่ออายุให้ยืนยาวไม่ได้ด้วยเหตุที่ว่า เทวดาทั่วไปมักจะหมกมุ่นมัวเมาหลงใหลอยู่ในความสุข จนกระทั่งไม่สนใจที่คิดจะสร้างความดี หรือพยายามที่จะทำจิตใจของตนเองให้สูงขึ้น กล่าวคือ ไม่สามารถจะมีความคิดอย่างใหม่ซึ่งผิดไปจากพื้นฐานเดิม จึงหลงกินบุญเก่าไปเรื่อย ๆ จนหมดทุน คือหมดอายุเทวดาในชั้นนั้น ส่วน เทวดาที่มีพื้นฐานทางจิตใจดีไปจากโลกมนุษย์ ปกติเป็นบุคคลที่ทำอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ และพร้อมที่จะเปลี่ยนความคิดเสมอในเมื่อรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นหรือขนบธรรมเนียมประเพณีจนเกินไป เทวดาที่มีพื้นจิตใจอย่างนี้ย่อมอยู่ในฐานะที่จะบรรลุมรรคผล ถ้าหากได้มีโอกาสฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือจากพระอริยบุคคลที่รอบรู้เกี่ยวกับเรื่องโอปปาติกะเป็นอย่างดี” เทวดาทั่ว ๆ ไปจะมีความทุกข์ก็ตอนกำลังจะหมดบุญ และรู้ตัวเมื่อมีบุรพนิมิตห้าประการเกิดขึ้นดังเช่น ท้าวสักกเทวราช หรือที่รู้จักในนาม พระอินทร์ เป็นเทวดาสามัญในสมัยพุทธกาล เคยสนับสนุนส่งเสริมพระสมณโคดมจนพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานิสงส์ดังกล่าวนี้ส่งผลให้ท้าวสักกะเมื่อถึงคราวจะหมดบุญได้รำลึกถึงพระ ผู้มีพระภาคเจ้าที่จะทรงอนุเคราะห์พระองค์ จึงพาเทพบริวารจำนวนมากเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในถ้ำช้างน้าวหรือถ้ำอินทสาละ ใกล้ดงมะม่วงด้านทิศตะวันออกของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ทูลถามปัญหาต่าง ๆ หลายข้อ พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาไปตามลำดับ จนในที่สุดท้าวสักกะจึงทรงทราบธรรมอันเป็นตัวต้นเหตุ ของตนคือ “ตัณหา” เมื่อเห็นชัดแจ้งเช่นนั้นก็มีดวงตาเห็นธรรม ได้ละสักกายทิฏวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสในบัดดล ทรงบรรลุเป็นโสดาบัติเทพ พร้อมด้วยหมู่เทวดาอีกแปดหมื่นองค์เป็นอริยเทพ อานิสงส์แห่งการเป็น อริยเทพในครั้งนั้น ส่งผลให้ได้ต่ออายุมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบัดนี้ท่านเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่รู้จักและกราบไหว้มาจนทุกวันนี้ การสร้างบุญ กุศลหรือการทำความดีให้กับตัวเองไว้จึงไม่สูญเปล่า ดังนั้นอย่าไปหลงเชื่อใครที่กล่าวว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” เพราะจะทำให้ท่านเสียโอกาสดี ๆ ในชีวิต.
คุณสมพร บุณยเกียรติ - ครูฝึก
ไปเที่ยวพรหม ไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยวนรก
ครู ขอให้ทุกท่านตัดสินใจว่าการที่เรามาปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ก็เพื่อหวังมรรคผลนิพพานเป็นสำคัญ บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหมดเห็นจริงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูทุก ประการแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ มีความยุ่งยากนานาประการและร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าก็เดินเข้าไปหาความแก่ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีการป่วยไข้ไม่สบาย ประสบกับอารมณ์ไม่สมหวังนานาประการ บางครั้งก็ถูกเขากลั่นแกล้ง ด่าว่าหรือถูกนินนทามีการพลัดพรากจากของเรักของชอบใจ และสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนหนีไม่พ้นก็คือความตาย เมื่อร่างกายนี้ตายไปเราก็ไม่สามารถจะ แบกเอาไปได้ ร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักเราก็แบกเอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติแม้ชิ้นเดียวหรืองเงินทองแม้แต่บาทเดียว เราก็ไม่สามารถจะแบกเอาไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายของข้าพระพุทธเจ้านี้พังเมื่อใด ขอตัดสินใจเข้าสู่พระนิพพานตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ขอได้ทรงโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณ แสดงพระวรกายของพระองค์ในสภาวะพระนิพพานให้ข้าพระพุทธเจ้าทังหมดรับสัมผัส ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ครู ขณะนี้ความรู้สึกของทุกท่านว่าพระพุทธเองค์ประทับอยู่ข้างหน้าพวกเราหรือเปล่าคะ...? ศิษย์ อยู่ครับ ครู เมื่ออยู่แล้วกราบนมัสการพระองค์ท่านหรือยังคะ...? ศิษย์ อยู่ครับ ครู เมื่ออยู่แล้วกราบนมัสการพระองค์ท่านหรือยังคะ...? ศิษย์ กราบแล้ว ครู ขณะที่กราบนมัสการ วันนี้พระพุทธองค์ประทับนั่งหรือนอน หรือยืน...? ศิษย์ ประทับนั่ง ครู พระพุทธเจ้าของเราเข้าสู่พระนิพพานไปสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว กายเนื้อของพระองค์ถูกเผาไปแล้ว แต่จิตหรืออทิสสมานกายของพระองค์อยู่บนพระนิพพานตามสภาพความเป็นจริงแล้ว เวลาพระองค์ประทับอยู่ที่วิมานของพระองค์ ท่านแต่งองค์อย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการด้วย เถิดพระพุทธเจ้าข้าแล้วทั้งหมดขอกราบแทบพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้า ครู ขณะที่กราบลงไป ความรู้สึกของใจว่าขณะนี้พระพุทธองค์แต่งองค์แบบไหนคะ...? ศิษย์ ทรงเครื่องพระนิพพาน ครู สวยไหมคะ...? ศิษย์ สวยค่ะ ครู ความรู้สึกเครื่องแต่งกายของพระองค์ออกสีอะไรคะ...? ศิษย์ สีขาวมีประกาย ครู ขณะนี้พระองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...? ศิษย์ ยิ้มนิด ๆ ครู หลวงพี่มีความรู้สึกพระพุทธองค์แย้มพระโอษฐ์ไหมคะ...? ศิษย์ (พระ) ยิ้มน้อย ๆ ครู ขณะที่เราอยู่ต่อหน้าพระองค์ท่าน ตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์นับตั้งแต่วันนี้จนกว่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบัน สำหรับพระสงฆ์ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ถือว่าเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ ต้องรักษาศีล ๒๒๗ ข้อโดยเคร่งครัด และขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อใด การเกิดเป็นคนก็ดี เทวดาหรือพรหมก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่พึงปรารถนา ขอติดตามพระองค์มาอยู่บนแดนพระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ขอได้ทรงโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ข้าพระพุทธเจ้ารับสัมผัสอทิสสมานกาย ของข้าพระพุทธเจ้าแต่ละคนที่อยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานขณะนี้ด้วย เถิดพระพุทธเจ้าข้า แต่ละคนดูซิคะว่าแต่งตัวยังไง เหมือนกายเนื้อข้างล่างที่นั่งอยู่ที่วัดท่าซุงหรือเปล่า...? ศิษย์ ไม่เหมือน แต่งตัวสวย ครู หลวงพี่แต่งตัวเป็นพระสงฆ์หรือเปล่าคะ...? ศิษย์ (พระ) ไม่ได้แต่ง ครู แต่งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ...? ศิษย์ แต่งเป็นชาย ครู ให้ทุกคนขอดูอทิสสมานกายเวลาที่อยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน กับกายเนื้อที่อยู่ในเมืองมนุษย์ อันไหนสวยกว่ากัน...? ศิษย์ อยู่ข้างบนสวยกว่า ครู ภายในบริวเวณวิมานพระพุทธเจ้ากว้างขวางหรือแคบคะ...? ศิษย์ กว้างค่ะ ครู นอกจากสมเด็จพระพุทธองค์แล้ว มีใครเสด็จมาอีกไหมคะ...? ศิษย์ มี ครู มากหรือน้อยคะ....? ศิษย์ เสด็จมากันมาก ครู ทั้งหมดให้แยกกายตัวเองที่แต่งตัวสวย ๆ ให้มีปริมาณเท่ากับทุก ๆ พระองค์ที่เสด็จมาทั้งหมด แล้วกราบนมัสการท่านพร้อมกันทังหมดด้วย อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย กราบได้ไหมคะ...? ศิษย์ กราบแล้ว ครู มีความรู้สึกว่ามีใครอยู่ใกล้ ๆ เราไหมคะ..? ศิษย์ มี ครู รู้จักท่านไหมว่าท่านเป็นใคร...? ศิษย์ หลวงพ่อ ครู วันนี้หลวงพ่อแต่งตัวยังไงคะ...? ศิษย์ แต่งคล้าย พระพุทธองค์ ครู หลวงพ่อใส่แว่นไหมคะ...? ศิษย์ ไม่ใส่ค่ะ ครู กราบระลึกถึงพระคุณท่าน เพราะท่านเป็นผู้นำความรู้การฝึกมโนมยิทธิมาสอนเรา ทำให้เราขึ้นมารับสัมผัสว่าแดนพระนิพพานมีจริง ไม่สูญอย่างที่เขาพูดกัน ขณะที่กราบท่านมีความรู้สึกรักเคารพและผูกพันกับองค์ท่านมาก่อนไหม...? ศิษย์ รู้สึกคุ้น ๆ กับท่านมาก่อน ครู ใจอยากจะเรียกท่านว่าอะไรขณะนี้ ศิษย์ เรียกท่านพ่อ ครู เพื่อความมั่นใจ ถ้าในอดีตชาติ เราเคยเกิดเป็นลูกองค์หลวงพ่อ ขอให้ท่านได้มีพระเมตตายกมือให้ลูกได้ทราบ ศิษย์ ยกค่ะ ครู เราจะได้มั่นใจว่าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกหลวงพ่อ ถึงได้ติดตามมาฝึกวิชานี้ เมื่อเรารู้จักท่านพ่อในอดีตแล้ว ขออัญเชิญท่านแม่ที่เป็นคู่บุญบารมีขององค์หลวงพ่อมาทุกชาติ ขอได้ทรงโปรดเสด็จประทับข้างหลวงพ่อให้ลูกได้กราบด้วยเถิดพระเจ้าข้า ท่านเสด็จมาหรือยังคะ...? ศิษย์ มาแล้ว ครู ขอกราบแทบพระบาท แล้วกราบบนตักท่าน ศิษย์ กราบแล้ว ครู พอกราบบนตักท่านแม่ทำอย่างไรคะ...? ศิษย์ ท่านลูบศีรษะ ครู มีความรู้สึกว่าท่านแม่มีความรักเมตตาห่วงใย มีความหวังดีต่อลูกไหมคะ...? ศิษย์ มีเมตตามาก ครู หลวงพ่อท่านบอกว่าใครจะมีพระคุณเกินแม่ไม่มีอีกแล้ว กราบถามท่านแม่ว่าจะกลับลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกไหมคะ...? ศิษย์ ไม่ลงมาเกิดอีกแล้ว ครู ก็แสดงว่าท่านแม่ของลูกอยู่บนพระนิพพานแล้ว ท่านดีใจไหมคะ วันนี้ลูกขึ้นมาถึงพระนิพพานกราบท่านได้ ศิษย์ ดีใจมากค่ะ ครู หลวงพ่อท่านบอกว่าทั้งพระ ทั้งพรหมและเทวดา ถ้าในอดีตชาติเราเคยเกิดเป็นลูกท่านแม้แต่เพียงชาติเดียว ท่านจะถือว่าเป็นลูกท่านตลอดไปคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ถ้าไม่เกินกฎของกรรม กราบถามพระนามสั้น ๆ ที่องค์หลวงพ่อเรียกท่านแม่มาทุกชาติว่าชื่ออะไร ศิษย์ ท่านแม่ศรี ครู ถูกต้อง ต่อไปนี้ให้จำท่านแม่ไว้ เวลาไปที่ใดขอบารมีให้ท่านช่วยนำไป จะได้คล่องขึ้น วันนี้วิมานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังใหญ่หรือเล็ก และทำด้วยอะไร...? ศิษย์ ใหญ่มากครับ ทำด้วยเพชร สวยมาก ครู เป็นการพิสูจน์แล้วว่า แดนพระนิพพานไม่สูญอย่างที่บางคนพูดกัน คำว่าสูญ ต้องไม่มีอะไรเลย นี่วิมานของพระองค์ก็มี พระองค์แย้มพระโอษฐ์แต่งองค์ทรงเครื่องพระนิพพาน เราก็รับสัมผัสได้ แม้กระทั่งจิตหรืออทิสสมานกายของตัวเราเองออกจากร่างอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ เราก็รับสัมผัสได้ ความรู้สึกของจิตเวลาอยู่บนพระนิพพานเป็นอย่างไร...? ศิษย์ สบาย รู้สึกเบา โปร่ง ครู สมอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพานเป็นสุขที่สุด จริงไหมคะ...? ศิษย์ จริงค่ะ ครู ขอให้ทุกคนขอบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ช่วย ขอรับสัมผัสแดนพระนิพพานทั้งหมดว่ามีวิมานมากหรือน้อยเพียงใด...? ศิษย์ มีวิมานมาก ครู แต่ละวิมานสว่างไสวหรือมืด...? ศิษย์ สว่างมาก สวยไปหมดเลย ครู เหมือนความสว่างในเมืองมนุษย์ไหม...? ศิษย์ ไม่เหมือน สว่างเป็นประกาย ครู ให้ทุกคนนึกถึงผลบุญที่ทำมาตั้งแต่ต้น จนถึงบัดนี้ถ้าข้าพระพุทธเจ้ามีวิมานอยู่บนพระนิพพาน ขอองค์สมเด็จพระบรมครู ขอหลวงพ่อ ท่านแม่ช่วยสงเคราะห์นำลูกไปวิมานและเห็นทรัพย์สมบัติในวิมานได้อย่างถูก ต้องตามความเป็นจริงทุกประการ เพื่อความมั่นใจที่จะกลับมาทำความดีในเมืองมนุษย์ เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า มีความรู้สึกว่ามีวิมานไหมคะ...? ศิษย์ มีหลังคายอดแหลม วิมานทำด้วยแก้ว ครู เข้าไปในวิมานอันเป็นสมบัติของเรา ถ้าตายไปจากชาตินี้ เข้าไปได้ไหมคะ...? ศิษย์ เข้าไปได้ มีเตียงนอนทำด้วยแก้วผสมทอง ครู ลองขึ้นไปนอนบนเตียงว่าจะลื่นหล่นลงมาไหม...? ศิษย์ ไม่หล่น นอนได้ มีที่นอนหมอนมารองรับ ครู นอนสบายไหม ถ้าไม่หล่นลงมาแสดงว่ากำลังใจเข้มแข็งพอ ถ้าตายก็สามารถขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานได้ เป็นการวัดกำลังใจเราเอง องค์หลวงพ่อท่านแม่เสด็จมาไหมคะ...? ศิษย์ มาค่ะ ครู มีทรัพย์สมบัติในวิมานไหมคะ...? ศิษย์ มีมากค่ะ ครู ทรัพย์สมบัติพร้อมด้วยวิมานเกิดจากผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ทีนี้เวลาทำบุญแล้วถ้าต้องการเห็นสิ่งใด ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอเห็นสิ่งนั้นมีที่วิมานหรือไม่ เวลานี้ให้ทุกคนลองเทียบดูตัวเราในเมืองมนุษย์พร้อมด้วยบ้านที่อยู่กับวิมาน บนพระนิพพานและอทิสสมานกายที่อออกจากกายเนื้อ อันไหนสวยสดงดงามกว่ากัน...? ศิษย์ ข้างบนสวยกว่า ครู เห็นอย่างนี้แล้ว ถ้าร่างกายเนื้อในเมืองมนุษย์ตายเมื่อใดยังจะเสียดายร่างกายของเราเอง หรือห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในร่างกายของบุคคลอื่นอันเป็นที่รักอีกไหม...หรือห่วง ทรัพย์สมบัติในเมืองมนุษย์ไหม...? ศิษย์ ไม่เสียดาย ไม่ห่วงใย ครู ฉะนั้นก็ตัดสินใจว่า ถ้ากลับลงไปในเมืองมนุษย์ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่จะทำงานตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้ากายเนื้อพังเมื่อใดขอติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตขึ้นมาอยู่ที่วิมานบนพระ นิพพานแต่เพียงอย่างเดียว
บันทึกนรกภูมิ
บันทึกสวรรค์ภูมิ